
สว.ตั้งโต๊ะแถลง โต้ข่าวดีเอสไอรับเรื่องการเลือกตั้ง สว.เป็นคดีพิเศษ ยันเข้ามาอย่างถูกต้องตามรัฐธรรมนูญ การตรวจสอบเป็นเรื่องของ กกต. ไม่ใช่ดีเอสไอ เตรียมสู้กลับ
ที่โรงแรมสวนสนปฏิพัทธ์ อ.หัวหิน จ.ประจวบคีรีขันธ์ นายมงคล สุระสัจจะ ประธานวุฒิสภา พล.อ.เกรียงไกร ศรีรักษ์ รองประธานวุฒิสภาคนที่ 1 พร้อมสมาชิกวุฒิสภา แถลงข่าวกรณีมีกลุ่ม สว.สำรอง ยื่นเรื่องขอให้กรมสอบสวนคดีพิเศษ (DSI) รับคดีฮั้วเลือก สว. ปี 2567 เป็นคดีพิเศษ
โดยนายมงคลกล่าวว่า เนื่องจากตนได้ติดตามข้อมูลข่าวสารมาโดยตลอด พบว่ามี สว.กลุ่มสำรองได้เตรียมเสนอเรื่องให้ดีเอสไอรับเรื่องราวเกี่ยวกับกระบวนการเลือกตั้ง สว.ปี 2567 ให้เป็นคดีพิเศษ จึงรู้สึกว่าเรื่องนี้น่าจะมีอะไรที่ไม่น่าถูกต้อง เพราะอำนาจในการสอบสวนและตรวจสอบการเลือกตั้งตามรัฐธรรมนูญเป็นอำนาจของคณะกรรมการการเลือกตั้ง (กกต.) ซึ่งเป็นองค์กรอิสระที่ได้รับเรื่องไว้แล้ว อยู่ในระหว่างการตรวจสอบ พวกตนในฐานะสมาชิกวุฒิสภาที่ได้รับการรับรองจาก กกต.ให้เข้ามาปฏิบัติหน้าที่ก็ให้ความร่วมมือกับ กกต.มาโดยตลอด
ซึ่ง กกต.ก็ได้ดำเนินการติดตามสอบสวนมาโดยตลอด ขณะเดียวกัน พวกเราซึ่งเป็นวุฒิสมาชิกเข้ามาอย่างถูกต้องตามเงื่อนไขตามระเบียบที่ กกต.กำหนดไว้ และทำหน้าที่ของสมาชิกวุฒิสภาอย่างตรงไปตรงมา ไม่ได้ไปฝักใฝ่หรือไปเกี่ยวข้องกับผู้อื่นผู้ใด
ขณะที่อยู่ดี ๆ ท่ามกลางความขัดแย้งต่าง ๆ ก็มีข่าวนี้ขึ้นมา ก็รู้สึกว่าเป็นเรื่องที่ไม่ถูกต้อง ทั้งนี้ สว.จะดำเนินการตรวจสอบต่อไป หากเข้าข้อกฎหมายเรื่องใด มีความผิดปกติกับข้อกฎหมายเรื่องใด หรือเกี่ยวข้องกับหน่วยงานใด หรือบุคคลใดที่ทำให้เกิดความเสียหายต่อวุฒิสภาของเรา เราก็จะดำเนินการตามกฎหมายอย่างที่สุด
“สว.เข้ามาอย่างถูกต้องตามรัฐธรรมนูญ ตามเงื่อนไข และระเบียบที่ กกต. กำหนด และทำหน้าที่ของ สว.อย่างตรงไปตรงมา ไม่ฝักใฝ่หรือเกี่ยวข้องกับผู้ใด ซึ่งการตรวจสอบของ กกต.นั้นเป็นไปตามอำนาจและหน้าที่ของ กกต. ส่วนหน่วยงานที่ไม่อำนาจหน้าที่ที่ออกมาให้ข่าวนั้น ทำให้ สว.ต้องมาปกป้องสิทธิและศักดิ์ศรี” นายมงคลกล่าว
ด้าน พล.ต.ต.ฉัตรวรรษ แสงเพชร สว.กล่าวว่า ตนได้ตรวจสอบในเรื่องข้อกฎหมายแล้ว ในเรื่องการได้มาซึ่งสมาชิกวุฒิสภาที่ผ่านมา ซึ่งเราได้สมาชิกวุฒิสภาตามที่รัฐธรรมนูญกำหนดไว้ และรัฐธรรมนูญยังกำหนดไว้ว่าให้เป็นอำนาจของ กกต.ในการพิจารณาในการได้มาซึ่งสมาชิกวุฒิสภา แต่ทุกวันนี้มีข่าวที่ทำให้กระทบต่อความเชื่อมั่นของประชาชนในเรื่องของการได้มา ซึ่งสมาชิกวุฒิสภาจาก 20 กลุ่มอาชีพ ที่จะเข้ามาพิจารณาร่างกฎหมายต่าง ๆ
พล.ต.ต.ฉัตรวรรษกล่าวต่อว่า ฉะนั้นจึงอยากเรียนว่าขณะนี้มีการดำเนินการจากผู้ร้องเรียนที่ได้ไปยื่นเรื่องให้ดีเอสไอ ซึ่งตนก็ยังไม่ทราบว่าอยู่ในขั้นตอนไหน แต่จากการแถลงข่าวก็ทราบว่าอยู่ในขั้นตอนที่จะพิจารณาว่าจะรับเรื่องหรือไม่ แต่หากพูดตามขั้นตอนของกฎหมายนั้น การดำเนินการของภาครัฐต้องดำเนินการอยู่ในขอบเขตของอำนาจหน้าที่ ตราบใดที่หน่วยงานรัฐตามพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญยังไม่ได้มอบอำนาจหน้าที่ จะมาพูดในลักษณะที่ทำให้สมาชิกวุฒิสภาโดยรวมเกิดความไม่เชื่อมั่นใน กกต.
จึงอยากฝากไปถึงผู้ที่อยู่เกี่ยวข้องในการรับเรื่องและดำเนินการ ไม่ว่าจะรับเรื่องจากหน่วยงานใด ๆ ว่าการดำเนินการต่าง ๆ ต้องอยู่ในอำนาจหน้าที่ ทั้งนี้ จากการที่รัฐมนตรีว่าการกระทรวงยุติธรรมให้สัมภาษณ์ ท่านก็พูดในลักษณะที่ทำให้สมาชิกวุฒิสภาเกิดความเสื่อมเสียในสังคม พูดอาจจะทำให้เกิดความไม่เชื่อมั่นและเสื่อมเสียของสมาชิกวุฒิสภาได้ ยืนยันว่าเราได้มาในรูปแบบตามที่รัฐธรรมนูญกำหนด
“สว.ทุกคนมาโดยสุจริต โปร่งใส มาในการแข่งขันที่รัฐธรรมนูญกำหนด ส่วนข้อกล่าวหา อั้งยี่ ซ่องโจร เป็นการให้ข่าวที่ผิดไป ขณะนี้ได้เตรียมรวบรวมข้อมูลและข้อกฎหมาย เพื่อแก้ข้อกล่าวหาให้กับ สว.ทั้งหมด“ พล.ต.ต.ฉัตรวรรษกล่าว
ขณะที่ พ.ต.อ.กอบ อัจนากิตติ สว. กล่าวย้ำว่า สว.ปัจจุบันมาโดยรัฐธรรมนูญไม่ได้มาโดยสมาคมหรืออั้งยี่ ซึ่งข้อกล่าวหาที่เกิดขึ้นนั้นเกินเลยจากข้อเท็จจริง อย่างไรก็ตาม สภา คณะรัฐมนตรี องค์กรอิสระ และหน่วยงานของรัฐต้องปฏิบัติตามรัฐธรรมนูญและกฎหมายเพื่อความสงบเรียบร้อยของประเทศ การกล่าวหาว่าองค์กรของรัฐที่ใช้อำนาจนิติบัญญัติแทนประชาชนเป็นกระบวนการที่ไม่ชอบด้วยกฎหมาย ไม่ชอบด้วยรัฐธรรมนูญ คือการใส่ความ
“มันผู้ใดก็ตามที่ใส่ความ สว. ทำให้เกิดดวามเสียหาย บั่นทอนความเชื่อมั่นในกระบวนการนิติบัญญัติ คนที่ทำต้องรับผิดชอบสิ่งที่ตนเองกระทำ ทั้งหน่วยงานของรัฐ ผู้บริหารบ้านเมือง ต้องรับผิดชอบในการกระทำของตนเอง ส่วนผู้ร้อง ที่เคยเข้ากระบวนการคัดเลือกเป็น สว. แต่เข้ามาไม่ได้ กลับมากล่าวหาว่าเป็นกระบวนการไม่ชอบด้วยรัฐธรรมนูญ ต้องมองย้อนกลับไปว่า ท่านทำตามกติกาแต่ทำไม่ได้ ก็มากล่าวหาว่าไม่ชอบกฎหมาย ดังนั้น ต้องรับผิดชอบ” พ.ต.อ.กอบกล่าว
พ.ต.อ.กอบกล่าวต่อว่า ขณะนี้มีกระบวนการจัดตั้ง เพื่อนำไปสู่การแก้ไขรัฐธรรมนูญ ในวิธีการฉ้อฉล เพื่อทำให้เกิดวิกฤตรัฐธรรมนูญ ทั้งนี้ รัฐธรรมนูญที่ใช้ปัจจุบันแก้ปัญหาวิกฤตรัฐธรรมนูญคือ ให้คนดีเข้ามาปกครองบ้านเมือง แต่กลับมีกระบวนการนี้กลับมาเพื่อทำให้เกิดวิกฤต ทำให้คนกระด้างกระเดื่อง ดังนั้น สว.ต้องอยู่เพื่อให้การดำรงอยู่ของกฎหมายเป็นไปอย่างผาสุก สงบเรียบร้อย ดังนั้น ใครบังอาจที่บิดเบือน ฉ้อฉลต้องรับผิดชอบ
เมื่อถามว่า มองว่าเป็นเกมการเมืองหรือไม่ พ.ต.อ.กอบกล่าวว่า การใช้ข้อกฎหมายอ้างอิงเพื่อดำเนินคดีกับ สว.นั้นไม่ตรงกับข้อเท็จจริง คือกลุ่มคนที่ทำ มี รมว.ยุติธรรมด้วย ดังนั้น มองได้ว่าเป็นเรื่องของเกมการเมือง โดยเฉพาะการกล่าวอ้างข้อกฎหมายว่ามาโดยไม่ชอบ คือการใช้กฎหมายเพื่อสร้างปัญหาต่อการปกครองบ้านเมือง
“มีกลุ่มคนไม่สำนึก นำพา ไม่เคารพกติกา กฎเกณฑ์การปกครองบ้านเมือง เพื่อสร้างให้เกิดวิกฤตรัฐธรรมนูญ การใช้กฎหมายยอาญามาตรา 116 อ้างว่ากลุ่มที่สมัคร สว.ที่รับรองจาก กกต.แล้ว ว่าไปยุยง ปลุกปั่นให้เกิดความไม่สงบ ละเมิดกฎหมายบ้านเมือง หากมองโดยหลักของกฎหมายที่ถูกต้อง คนที่ทำเรื่องนี้ไม่ใช่ สว. แต่คนที่ทำคือคนที่กล่าวหานำเรื่องไปสู่ดีเอสไอ คือคนที่ขัดขวางความมั่นคง บั่นทอนระบบการปกครองในระบอบประชาธิปไตย” พ.ต.อ.กอบกล่าว
พ.ต.อ.กอบกล่าวด้วยว่า กรณีที่ดีเอสไอ หรือ รมว.ยุติธรรมกล่าวอ้างนั้นถือเป็นการบิดเบือน ฉ้อฉลอำนาจตามรัฐธรรรนูญ ทั้งนี้ เรื่องดังกล่าวแบบนี้ไม่ควรเกิดขึ้นในบ้านเมือง เพราะจะเกิดปัญหารอบด้าน เช่น กรณีปัญหาที่รัฐมนตรีจะแก้ไขมีจำนวนมาก แต่กลับทำกระบวนการที่บั่นทอนฝ่ายนิติบัญญัติ
“รัฐสภาเป็นองค์กรใช้กฎหมายนิติบัญญัติแทนประชาชน จะมายุแยง ยั่วยุ ปลุกปั่นประชาชนให้ปั่นป่วน และกล่าวหาฝ่ายนิติบัญญัติ แสดงว่าบ้านเมืองนี้ไม่มีการปกครองโดยใช้กฎหมาย เมื่อไม่มีการปกครองโดยกฎหมายจะใช้หลักอะไรในการบริหารประเทศ อยากรู้จะแก้ปัญหารอบด้านชายแดนอย่างไร จะให้ต่างชาติมาชี้นำแก้ปัญหาให้ กรณีมีคนต่างด้าวที่มาทำผิดกฎหมายในประเทศ จู่ ๆ ก็สั่นคลอนในกระบวนการยุติธรรมและยกฟ้องคดีสำคัญ เช่น คดีตู้ห่าว ที่เป็นตัวอย่างเล็ก ๆ ที่ใช้อำนาจทุจริตในเชิงประจักษ์” พ.ต.อ.กอบกล่าว
พ.ต.อ.กอบกล่าวต่อว่า เป็นการกระทำที่ปกติวิสัยฉ้อฉล บิดเบือนกฎหมาย และกระบวนการครั้งนี้กลับมาอีกครั้ง เพื่อแกัไขรัฐธรรมนูญ 2560 ที่แก้ปัญหาไปแล้วด้วยการกำหนดให้คนที่ไม่ซื่อสัตย์สุจริตเป็นที่ประจักษ์เข้ามาปกครองบ้านเมือง ประชาชนต้องมีหน้าที่ช่วยปกป้องและรับใช้เพื่อให้บ้านเมืองเป็นไปด้วยความเรียบร้อย
รวมถึงให้คนดีมาปกครองบ้านเมือง ตอนนี้ประชาชนสับสน เพราะมีการยุยงปลุกปั่น โดยใช้กฎหมายเป็นเครื่องมือบิดเบือนอำนาจ ทั้งนี้ ไม่อยากระบุบุคคล แต่สิ่งที่ปรากฏตามสื่อ กระบวนการนี้กำเริบเสิบสานมาอีก ไม่ให้ใช้อำนาจนิติบัญญัติที่เรียบร้อย ให้ทำบ้านเมืองวุ่นวาย และจะเป็นวิกฤตรัฐธรรมมูญเพื่อให้กระบวนการนี้กลับมา การที่ สว.ทำงานเพื่อปกป้องผลประโยชน์ให้ประชาชน ตามหน้าที่และอำนาจที่รัฐธรรมนูญกำหนด
“คนที่จะถูกตรวจสอบคือคนที่ไม่มีหน้าที่ แต่กลับก่อความวุ่นวายในบ้านเมืองจะเป็นคนที่ต้องถูกดำเนินคดี และตรวจสอบว่ามาอย่างไร มีองค์กรใดอยู่เบื้องหลังที่ทำใหเ้กิดความปั่นป่วน” พ.ต.อ.กอบกล่าว
ฟาก พล.อ.เกรียงไกรกล่าวว่า เรื่องดังกล่าวโยงอยู่กับกระบวนการการแก้ไขรัฐธรรมนูญปี 2560 หลายสิ่งหลายอย่างที่เกิดขึ้น ความพยายามบางอย่างตนมองว่าไม่ค่อยปกติ ฉะนั้น จากนี้ไปสมาชิกวุฒิสภาจำนวนหนึ่งจะใช้กระบวนการยุติธรรมเช่นเดียวกันในการกล่าวโทษดำเนินคดีในประเด็นต่าง ๆ และจะลงชื่อกันอภิปรายไว้วางใจผู้บริหารที่เกี่ยวข้องในประเด็นนี้ต่อไป