อนุกรรมการ ดีเอสไอ ชงปมฮั้ว สว. เป็นคดีพิเศษ เข้าข่ายอั้งยี่-ฟอกเงิน

ชงปมฮั้ว สว. เป็นคดีพิเศษ

มติอนุกรรมการกลั่นกรอง ดีเอสไอ ชงเรื่องฮั้วเลือก สว. เป็นคดีพิเศษ เข้าเกณฑ์ความผิดอั้งยี่-ฟอกเงิน

ที่กรมสอบสวนคดีพิเศษ (DSI) ถนนแจ้งวัฒนะ ร.ต.อ.สุรวุฒิ รังไสย์ รองอธิบดีกรมสอบสวนคดีพิเศษ ในฐานะประธานอนุกรรมการกลั่นกรองด้านอาชญากรรมระหว่างประเทศและอาชญากรรมพิเศษ กรมสอบสวนคดีพิเศษ ได้ประชุมร่วมกับเจ้าหน้าที่ดีเอสไอทั้งหมด 9 ราย และ 4 ผู้แทนหน่วยงาน

อันประกอบด้วยสำนักงานอัยการสูงสุด (อสส.) สำนักงานตำรวจแห่งชาติ (ตร.) กระทรวงการต่างประเทศ (กต.) และกระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ (พม.) ในฐานะอนุกรรมการ เพื่อพิจารณาเรื่องสืบสวนที่ 151/2567 กรณีการคัดเลือกสมาชิกวุฒิสภาที่มีกระบวนการหรือพฤติการณ์ที่มิได้เป็นไปโดยสุจริตหรือเที่ยงธรรม

ซึ่งมีพฤติการณ์อันอาจเป็นความผิดตามกฎหมายประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยการได้มาซึ่งสมาชิกวุฒิสภา พ.ศ. 2561 และประมวลกฎหมายอาญา ซึ่งเป็นไปตามประกาศ กคพ. เรื่อง หลักเกณฑ์และวิธีการในการร้องขอและเสนอให้ กคพ. มีมติให้คดีความผิดทางอาญาใดเป็นคดีพิเศษ พ.ศ. 2561

โดยวัตถุประสงค์การประชุมของคณะอนุกรรมการเพื่อให้เกิดความรอบคอบในเรื่องของการดำเนินการในความผิดอาญาที่เป็นภารกิจของดีเอสไอเข้าข่ายเป็นคดีพิเศษ และเรื่องความผิดที่เกี่ยวข้องกับการเลือกตั้งให้เกิดความชัดเจนมากขึ้น อีกทั้งตามกฎหมาย พ.ร.บ.การสอบสวนคดีพิเศษ พ.ศ. 2547 และประกาศคณะกรรมการคดีพิเศษ ที่ให้อำนาจคณะอนุกรรมการพิจารณาเรื่องหลักใจความสำคัญ

คือ 1.เรื่องที่เสนอนั้น เป็นการกระทำความผิดอาญาหรือไม่ และในฐานความผิดใด ระหว่างประมวลกฎหมายอาญามาตรา 209 (ฐานอั้งยี่) ความผิดเกี่ยวกับความมั่นคงแห่งรัฐตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 116 (3) และความผิดตาม พ.ร.บ.ป้องกันปราบปรามการฟอกเงิน พ.ศ. 2542 รวมทั้งมีเหตุสมควรเสนอให้คณะกรรมการคดีพิเศษมีมติให้เป็นคดีพิเศษตามมาตรา 21 วรรคหนึ่ง (2) หรือการเป็นคดีความผิดทางอาญาอื่นหรือไม่

ADVERTISMENT

ร.ต.อ.สุรวุฒิเปิดเผยหลังเสร็จสิ้นการประชุมว่า วันนี้เป็นการประชุมตามที่บอร์ด กคพ.ได้มอบหมายดำเนินการ เพื่อให้เกิดความรอบคอบในประเด็นเรื่องอำนาจหน้าที่ จึงได้นำเรื่องเข้าคณะอนุกรรมการ วันนี้เพื่อช่วยพิจารณาให้เกิดความรอบคอบอีกครั้ง ซึ่งในที่ประชุมได้มีการพูดคุยตามอำนาจหน้าที่ของเรา

ซึ่งกฎหมายได้กำหนดไว้ 3 ข้อ คือ 1.มีการกำหนดไว้ว่าเรื่องดังกล่าวมีความผิดอาญาฐานใดบ้าง ซึ่งกรรมการทุกคนได้เห็นเป็นเอกฉันท์ตรงกันว่า มีความผิดอาญาเกิดขึ้นตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 209 (อั้งยี่) มาตรา 116 (ความผิดเกี่ยวกับความมั่นคงแห่งรัฐ) มาตรา 77 (1) แห่ง พ.ร.ป.ว่าด้วยการได้มาซึ่งสมาชิกวุฒิสภา พ.ศ. 2561 และ พ.ร.บ.ป้องกันและปราบปรามการฟอกเงิน พ.ศ. 2542 ซึ่งมีลักษณะเข้าข่ายเป็นคดีพิเศษตามมาตรา 21 ววรคหนึ่ง (ก)-(จ) แห่ง พ.ร.บ.การสอบสวนคดีพิเศษ พ.ศ. 2547

ADVERTISMENT

เนื่องจากมีผลกระทบเป็นวงกว้าง ขัดต่อความสงบเรียบร้อยและศีลธรรมอันดีต่อประชาชน รวมถึงมีความจำเป็นที่จะต้องนำเสนอต่อบอร์ดคณะกรรมการคดีพิเศษ (กคพ.) ในวันที่ 6 มี.ค.นี้ เพื่อให้รับเป็นคดีพิเศษทั้ง 2 กรณี

โดยกรณีที่ 1 คือ กรณีการกระทำความผิดทางอาญาอื่นที่เกิดขึ้นจากการอั้งยี่ รวมทั้งการกระทำความผิดที่เป็นการได้มาซึ่ง สว. ตามมาตรา 77 (1) ส่วนกรณีที่ 2 คือ ความผิดฐานฟอกเงิน ซึ่งอยู่ในอำนาจของคณะกรรมการคดีพิเศษ

ร.ต.อ.สุรวุฒิเปิดเผยอีกว่า ในที่ประชุมของคณะอนุกรรมการได้มีการพูดคุยกันค่อนข้างหลากหลาย โดยเฉพาะได้เปิดมาตรา 44 ที่มีการระบุว่าได้ให้อำนาจคณะกรรมการการเลือกตั้งในเรื่องใดบ้าง และไม่ได้ตัดอำนาจพนักงานสอบสวนอื่น ขอให้พนักงานสอบสวนอื่นดำเนินการไปตามอำนาจหน้าที่ ซึ่งในทางปฏิบัติก็มีเช่นนั้นมาโดยตลอด ยืนยันว่าดีเอสไอไม่ได้ทำเรื่องการเลือกตั้ง แต่ทำเรื่องความผิดทางอาญาอย่างเดียว

อย่างไรก็ตาม ความเห็นโดยสรุปของคณะอนุกรรมการในวันนี้ เราทำตามหน้าที่ที่บอร์ดคณะกรรมการคดีพิเศษได้มอบหมาย ความเห็นไปตามที่เรียนแจ้ง

แต่ส่วนบอร์ดคณะกรรมการคดีพิเศษจะมีความเห็นอย่างไรก็เป็นในส่วนของบอร์ด คณะอนุกรรมการชุดนี้ไม่สามารถก้าวล่วงได้ ทั้งนี้ โดยปกติแล้วคณะอนุกรรมการมีความเห็นอย่างไร ก็ไม่ได้หมายความว่าบอร์ดคณะกรรมการคดีพิเศษจะต้องเห็นแย้งหรือเห็นคล้อยตามด้วย เพราะที่ผ่านมามีทั้งเห็นต่างกันและเห็นร่วมกัน หรือบอร์ดจะไม่เห็นด้วยก็ได้ เพราะอย่างไรแล้วก็ต้องดูความเห็นบอร์ดเป็นหลัก เนื่องด้วยการจะรับหรือไม่รับเป็นคดีพิเศษจะต้องใช้มติ 2 ใน 3 ของบอร์ดดังเดิม คณะอนุกรรมการมีหน้าที่เพียงกลั่นกรองเรื่อง

ร.ต.อ.สุรวุฒิเปิดเผยอีกว่า สำหรับกรณีวันที่ 5 มี.ค. ซึ่งอธิบดีดีเอสไอจะต้องหารือกับประธานคณะกรรมการการเลือกตั้งนั้น ตนในฐานะประธานคณะอนุกรรมการไม่สามารถทราบรายละเอียดได้ แต่อย่างไรก็ตาม ในวันนี้ถือเป็นการพิจารณาเรื่องสำนวนสืบสวน ซึ่งเป็นเรื่องที่ได้มีการชี้แจงในการประชุมของบอร์ดคณะกรรมการคดีพิเศษไปแล้ว โดยไม่ได้มีการหารือถึงเรื่องรายชื่อ 1,200 ราย ที่ปรากฏว่าเป็นพยานของดีเอสไอในคดีฮั้ว สว. เรื่องนี้ถือเป็นเรื่องอนาคต ขอให้มีการรับเป็นคดีพิเศษก่อน พร้อมย้ำว่ารายชื่อดังกล่าวไม่ได้เป็นเอกสารที่หลุดออกมาจากดีเอสไอ

แต่เท่าที่ดูเหมือนจะเป็นเอกสารที่หลุดออกมาจากวันที่มีการประกาศรายชื่อ 800 ราย ที่เข้ารอบสุดท้าย ไม่ได้หลุดมาจากสำนวนการสืบสวนของดีเอสไอ แนวทางของบอร์ดคณะกรรมการคดีพิเศษ ในวันที่ 6 มี.ค. มีดังนี้ หากรับเป็นคดีพิเศษก็จะมีการสอบสวนโดยคณะพนักงานสอบสวนคดีพิเศษ ร่วมกับพนักงานอัยการ

แต่ถ้าไม่รับเป็นคดีพิเศษก็ต้องมีมติว่าจะส่งต่อหน่วยงานใดดำเนินการแทน ย้ำว่าดีเอสไอทำเรื่องคดีอาญาอย่างเดียว ส่วนเรื่องการเพิกถอนการเลือกตั้งเป็นอำนาจของคณะกรรมการการเลือกตั้ง ไม่ได้เกี่ยวกับดีเอสไอหรือหน่วยงานใด เพราะเป็นกฎหมายของ กกต.โดยเฉพาะ

นายนาเคนทร์ ทองไพรวัลย์ อัยการจังหวัดประจำสำนักงานอัยการสูงสุด กล่าวว่า การพิจารณาพยานหลักฐานมาจากการสืบสวนสอบสวนของดีเอสไอเป็นหลัก เพื่อให้ที่ประชุมน่าเชื่อว่ามีความผิดอาญาเกิดขึ้น ซึ่งความผิดที่เกิดขึ้นมีทั้งในส่วนของประมวลกฎหมายอาญา และ พ.ร.ป.ว่าด้วยการได้มาซึ่งสมาชิกวุฒิสภา ซึ่งเราก็พิจารณาตามพยานหลักฐานทั้งหมด

ส่วนหลักฐานจะเป็นอย่างไรและมีอะไรบ้างนั้น ตนไม่สามารถที่จะนำออกมาบอกแก่สื่อมวลชนได้ แต่ในที่ประชุมได้มีการดูและฟัง รับทราบจนเชื่อได้ว่ามันมีการกระทำความผิดเกิดขึ้น และความเห็นในวันนี้ของเรา มีขึ้นเพื่อไปใช้นำเสนอแก่บอร์ดคณะกรรมการคดีพิเศษเพื่อพิจารณา