ภูมิธรรม แจงดราม่าเยี่ยม ‘อุยกูร์‘ ปัดจัดฉาก มั่นใจอธิบายได้หมด

ภูมิธรรม เวชยชัย
ภูมิธรรม เวชยชัย

ภูมิธรรมแจงดราม่าเยี่ยม ‘อุยกูร์‘ ปัดจัดฉาก ลั่นเขาไม่ใช่ดาราฮอลลีวูด จะได้สั่งน้ำตาได้ วอนคนอื่นอย่าคิดแทน มั่นใจอธิบายได้ทั้งหมด

จากกรณีเสียงวิจารณ์และมีการตั้งข้อสังเกตการเดินทางเยี่ยมเยียนชาวอุยกูร์ 40 คน ณ เขตปกครองตนเองซินเจียงอุยกูร์ สาธารณรัฐประชาชนจีน ของคณะนายภูมิธรรม เวชยชัย รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม และ พ.ต.อ.ทวี สอดส่อง รัฐมนตรีว่าการกระทรวงยุติธรรม จนเกิดเป็นดราม่าเรื่องการจัดฉากนั้น

นายภูมิธรรมชี้แจงว่า ทางการจีนได้ประสานและอำนวยความสะดวกในการพบกับชาวอุยกูร์ ที่ถูกส่งตัวกลับจากไทย และจากการสื่อสารต้องใช้ภาษาอุยกูร์ ภาษาจีน และภาษาไทย แปลกลับไปกลับมาแบบเปิดเผย หากใครคิดว่าเป็นการจัดฉาก สามารถหาล่ามมาแปลได้ ไม่ได้มีการปิดบังอะไร และบรรยากาศที่ได้ไปพบพูดคุย โดยเฉพาะเครือญาติชาวอุยกูร์ แสดงออกถึงความรู้สึก ซึ่งไปบังคับกันไม่ได้ พวกเขาไม่ใช่นักแสดงชาวฮอลลีวูดที่จะไปบอกให้ร้องไห้ก็ร้องไห้ได้

ดังนั้น เรื่องนี้ไม่ต้องอธิบายอะไรมาก ภาพที่ออกมาสามารถอธิบายได้ทั้งหมด เพราะเป็นภาพจากความรู้สึกจริง ดังนั้น จึงขอให้สื่อมวลชนบางส่วนเปิดใจกว้าง

สำหรับการทำหน้าที่ของสื่อมวลชนที่ติดตามคณะมาในครั้งนี้ เป็นลักษณะเดียวกับการจัดสื่อมวลชนที่ติดตามคณะของนายกรัฐมนตรีไปทำภารกิจ ซึ่งจะเป็นตัวแทนหรือที่เรียกว่า “พูล” แต่ครั้งนี้นำมาจำนวนมากกว่า เพราะต้องการให้คนรับรู้ได้อย่างกว้างขวาง หากพิจารณาแล้วสื่อมวลชนที่นำมาก็เป็นสื่อมวลชนที่ได้รับความสนใจจากประชาชนจำนวนมาก

ADVERTISMENT

สำหรับสื่อมวลชนที่ไม่ได้ร่วมคณะ ย่อมทราบดีถึงระบบการจัดพูลดังกล่าว และภาพรวมถึงข่าวก็แจกจ่ายอย่างทั่วถึง จึงขออย่าใช้เป็นเหตุผล ทำให้เกิดความรู้สึกว่า ไม่ได้มาทำหน้าที่ เพราะเพื่อนสื่อมวลชนก็มาทำหน้าที่ให้แล้ว อย่านำเรื่องนี้มาเป็นเรื่องใหญ่ให้ติดใจ หรือเกิดความสับสน แล้วทำให้เกิดความไขว้เขว เพราะเรื่องนี้เป็นเรื่องของประเทศชาติ โดยเฉพาะเรื่องของความเชื่อมั่น

ADVERTISMENT

ส่วนการจัดวิดีโอคอลกับชาวอุยกูร์ไปยังประเทศไทยนั้น นายภูมิธรรมระบุว่า ต้องเคารพในอธิปไตยของจีน แม้จะสามารถเสนอได้ แต่ขึ้นอยู่กับทางการจีนว่าจะอนุมัติหรือไม่ และจากการพูดคุยกับชาวอุยกูร์ทำให้ทราบว่าชาวอุยกูร์ต้องการใช้ชีวิตหลังจากกลับถึงจีนอย่างปกติ

ดังนั้น การที่เราต้องการให้เขาออกสื่อสาธารณะ และซักถามราวกับเขาเป็นนักโทษ หรือเป็นจำเลยของพวกเราทุกคน ก็ต้องคำนึงถึงมนุษยธรรมด้วย ซึ่งเขาควรเป็นผู้ตัดสินใจเอง ไม่ใช่ให้คนอื่นมาตัดสินใจอนาคตแทน