อภิปรายไม่ไว้วางใจ ฝ่ายค้านอัด ทักษิณ-อิ๊งค์ ประเทศเสีย 2 ต่อ แฉนายกฯหนีภาษี

การอภิปรายไม่ไว้วางใจวันแรก เท้ง – บิ๊กป้อม 2 แกนนำฝ่ายค้าน เปิดฉากดุเดือด เริ่มต้นด้วยปมนายกฯ เลี่ยงภาษี

ในการประชุมสภาผู้แทนราษฎร เป็นพิเศษ มีนายวันมูหะมัดนอร์ มะทา ประธานสภาผู้แทนราษฎร เป็นประธานการประชุม พิจารณาญัตติเปิดอภิปรายทั่วไป เพื่อลงมติไม่ไว้วางใจรัฐมนตรีเป็นรายบุคคล คือน.ส.แพทองธาร ชินวัตร นายกรัฐมนตรี ตามที่นายณัฐพงษ์ เรืองปัญญาวุฒิ สส.บัญชีรายชื่อ หัวหน้าพรรคประชาชน กับคณะจำนวน 165 คน เป็นผู้เสนอ

ทั้งนี้  นายณัฐพงษ์ อภิปรายเปิดญัตติว่า พวกตนเห็นว่าน.ส.แพทองธารเป็นผู้มีพฤติกรรมไม่อาจไม่วางใจให้บริหารราชการแผ่นดิน ใรฐานะนายกฯได้อีกต่อไป เนื่องจากใม่มีคุณสมบัติที่เหมาะสมในการดำรงตำแหน่งผู้นำฝ่ายบริหาร ไม่มีคุณสมบัติ ขาดวุฒิภาวะ ขาดความรู้ความสามารถ

ถ้าเจตจำนงในการบริหารราชการแผ่นดินที่จะแก้ไขปัญหาให้กับประเทศชาติและประชาชนได้ ส่งผลให้เกิดการทำลายภาพลักษณ์และความเชื่อมั่นของประเทศ จงใจอยู่เหนือปัญหาไม่มีความรับผิดชอบต่อหน้าที่เพียงเพราะเห็นแก่ผลประโยชน์ของตนเองครอบครัว และพวกพ้องเป็นตัวตั้งอยู่เนื้อผลประโยชน์ส่วนรวม

ไม่มีความซื่อสัตย์สุจริตเป็นที่ประจักษ์ มีพฤติการณ์เอารัดเอาเปรียบประชาชนเอาเปรียบสังคม โกหกหลอกลวง ไม่ดำเนินการตามนโยบายที่ให้สัญญาไว้กับประชาชนเป็นนั่งร้านช่วยเหลือต่างตอบแทนบุคคลที่เป็นปฏิปักษ์ต่อระบบประชาธิปไตยบริหารบ้านเมืองผิดพลาดล้มเหลวอย่างร้ายแรงทั้งในด้านการเมือง เศรษฐกิจ และสังคม คุณภาพชีวิตสิ่งแวดล้อม ทำลายนิติรัฐทำลายระบอบประชาธิปไตยในระบบรัฐสภา

ตลอดจนปล่อยประละเลยให้เกิดการทุจริตคอร์รัปชั่นภายใต้การบริหารงานของตนเองทั้งยังทุจริตเชิงนโยบายบริหารบ้านเมืองที่เอื้อแก่ผลประโยชน์ของพวกพ้องและกลุ่มทุนแต่งตั้งบุคคลที่ขาดความรู้ความสามารถความเหมาะสม ไม่ซื่อสัตย์สุจริตไปเป็นรัฐมนตรีหรือตำแหน่งสำคัญอื่นๆ

ADVERTISMENT

“นอกจากนี้ยังสมัครใจยินยอมให้บุคคลในครอบครัวชี้นำชักใหญ่ให้กระทำการหรืองดเว้นการกระทำการอันเป็นเรื่องสำคัญของชาติบ้านเมือง ประพฤติตนเสมือนเป็นนายกรัฐมนตรีหุ่นเชิด โดยมีบุคคลในครอบครัวเป็นนายกรัฐมนตรีตัวจริง ไม่ต้องรับผิดชอบต่อการใช้อำนาจใด ๆ

จากพฤติการณ์ดังกล่าวหากปล่อยให้บุคคลดังกล่าวยังคงบริหารราชการแผ่นดินต่อไปย่อมสืบมาซึ่งความเสียหายของประเทศชาติและประชาชน จนยากที่จะเยียวยาได้” นายณัฐพงษ์ กล่าว

ADVERTISMENT

ผู้นำฝ่ายค้าน กล่าวว่า วันนี้พวกเรายังต้องเจอปัญหาแบบเดิมๆอยู่เลยทำไมคนไทยจึงไม่มีโอกาสที่จะได้รัฐบาลที่มีเจตจำนงที่แน่วแน่ที่จะมาแก้ไขปัญหา ทำไมคนไทยถึงยังไม่มีโอกาสที่จะมีผู้นำที่มีคุณสมบัติเพียงพอ ในการหาทางออกให้กับประเทศทั้งทั้งที่การเลือกตั้งในปี66 ที่ผ่านมา

ประชาชนคนส่วนใหญ่ของประเทศลงมติกันแล้วว่าอยากได้การเปลี่ยนแปลงคำตอบที่อธิบายทุกอย่างได้ชัดเพราะรัฐบาลชุดนี้เริ่มต้น ดำรงอยู่ และเดินหน้าต่อเพื่อให้เกิด “ดีลแลกประเทศ” ซึ่งผลประโยชน์ของคนตระกูลชินวัตรและครอบครัวยึดเป็นแกนกลาง และมีผลประโยชน์ของกลุ่มทุนใกล้ชิด เครือข่ายการเมืองเป็นแกนรอง เป็นประเทศและประชาชนต้องรอออกไปก่อน เดี๋ยวใกล้วันเลือกตั้งพวกเราค่อยมาปรับบทละครกันอีกทีใช่หรือไม่ นายกฯ คิดว่าแบบนี้เขารู้ไม่ท่านหรือ

เปิดเกมดีลแลกประเทศ

นายณัฐพงษ์ กล่าวว่า ดีลแลกประเทศไม่ได้หมายถึงแค่พานายทักษิณกลับบ้านแต่ยังหมายรวมถึงเรื่องอื่นๆที่ประชาชนคนไทยต้องแลกด้วยลผลประโยชน์ของประเทศมากหมายมหาศาลที่เกิดขึ้นภายใต้ดิลนี้ ซึ่่งภายใต้รัฐบาบชุดนี้ดูเผินๆ เหมือนประเทศอาจจะได้อะไรดีขึ้นกว่ารัฐบาล พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา แต่พอเวลาผ่านไป 2ปี เป็นที่ประจักษ์แล้วว่าสิ่งที่เหมือนจะได้กลับเสียมากกว่าเดิม

การเริ่มต้นและตั้งอยู่ของรัฐบาลแพทองธาร ทำให้ประเทศต้องจ่ายต้นทุนราคาแพง ทั้งด้านการเมือง เศรษฐกิจ และสังคม เริ่มจากเรื่องการเมือง รัฐบาลพรรคเพื่อไทย ทำให้ประชาธิปไตยประเทศถดถอยลง

ซึ่งคะแนนวัดอันดับทางการเมืองตกต่ำลงจากปี 66 จัดในกลุ่มประชาธิปไตยบกพร่อง แก้รัฐธรรมนูญไม่คืบหน้า และถูกนานาชาติประณามเพราะส่งผู้ลี้ภัยชาวอุยกูร์กลับประเทศจีน นี่คือสิ่งที่เกิดขึ้นในยุครัฐบาลเพื่อไทยที่ใม่ว่าท่านจะรู้ตัวหรือไม่นายกฯท่านกำลังทำให้ความเป็นประชาธิปไตยของประเทศเสื่อมถอยลงภายใต้เปลือกของคำว่ารัฐบาลที่มาจากการเลือกตั้ง

ด้านเศรษฐกิจ ดูเผินๆ เหมือนเรากำลังจะได้รัฐบาลที่เก่งเศรษฐกิจ ที่ขาดหลายๆคนที่เคยเป็นกองเชียร์ยอมปิดตาข้างหนึ่งเพื่อให้รัฐบาลเพื่อไทยเข้ามาแก้ปัญหาปากท้อง แต่ไม่เหมือนที่คุยกันไว้ พายุหมุนทางเศรษฐกิจไม่เคยเกิดขึ้น เพราะไม่ได้ทำการบ้านอะไรไมา่ล่วงหน้า จากที่คุยว่าจะได้ 5% เหลือ 2.5% ไม่เหมือนคำโฆษณา แต่ทิ้งไว้ที่ราคาที่สังคมไทยต้องจ่ายอย่างมากหมายมหาศาล

ปัญหาพรรคเพื่อไทยคือการไม่ยอมรับว่าไทยรักไทยได้รับประโยชน์จากปัจจัยภายนอกไม่ได้เก่งด้วยตนเอง เช่น หลักประกันสุขภาพถ้วนหน้าที่หมอชนบทขับเคลื่อนมาก่อนหน้านั้น การกระจายเม็ดเงินลงท้องถิ่นได้ประโยชน์จากโครงการมิยาซาว่า เมื่อเป็นรัฐบาลเพื่อไทยนโยบายดีๆ ที่กองบนโต๊ะไม่มี ทำให้คิดไปทำไป

นายกฯ 2 คน ไทยเสีย 2 ต่อ

“การบริหารประเทศที่ได้นายทักษิณกลับมาอีกครั้งเหมือนได้ผู้นำแพคคู่ คนหนึ่งมีประสบการณ์ อีกคนอยู่ในตำแหน่งเป็นคนรุ่นใหม่ สิ่งที่เกิดขึ้นมีผู้นำนอกระบบ ทำงานนอกทำเนียบฯ เป็นคนชี้นำวาระ ให้ข้อมูลและนโยบายนำหน้ารัฐบาล โดยปราศจากความรับผิดชอบใดๆเพราะไม่ถูกถ่วงดุลตรวจสอบ

วันหนึ่งเคยบอกจะให้ค่าไฟ 3.70 บาท แต่ก็ไม่เคยเกิดขึ้น ผ่านอีกแค่ 2 เดือน อยู่ๆก็บอกว่าจะลดคาไฟให้เหลือ 2.50 บาท ราคาค่าไฟลดเร็วพอๆกับความน่าเชื่อถือ กลายเป็นคนนอกระบบพูดไปเรื่อย

ส่วนคนในระบบแทนที่จะเป็นพลังคนรุ่นใหม่ กลับขาดความรู้ความสามารถ ขาดวุฒิภาวะ และเจตจำนงทางการเมือง และ6เดือนที่ผ่านมา เราเคยเห็นการผลักดันอะไรที่นายกฯตัวจริง ผลักดันให้เกิดการแก้ปัญหาได้บ้าง มีแต่การลอยตัวหนีปัญหาไม่สนไม่แคร์

แต่ความเดิอดร้อนของประชาชน เมื่อรวมนายทักษิณกับน.ส.แพทองธารแล้วประเทศไทยเสีย 2 ต่อ เพราะมีคนที่ลอยตัว ส่วนคนที่ถืออำนาจรัฐที่ขาดคุณสมบัติ”นายณัฐพงษ์ กล่าว

นายณัฐพงษ์ กล่าวว่า น.ส.แพทองธาร จะทำตัวแบบเดียวกับนายกฯ ที่มาจากกาปฏิวัติรัฐประหาร มองการเมืองเป็นเค่เรื่องหน้ารำคาญ ภาระในสภาเปรียบเสมือนก้อนกรวดในรองเท้า มองสส.ในสภาฯเป็นเพียงแค่จำนวนนับให้จัดตั้้งรัฐบาลแบบนี้ไม่ได้

และตราบใดที่น.ส.แพทองธารยังดำรงตำแหน่งอยู่ ต้องเจอะกับอะไรบ้าง ชาวสวนมีปัญหาเรื่องน้ำต้องใช้ไฟฟ้าสูบน้ำเพื่อใช้ แต่กลับพบภาพอดีตนายกฯ ออกรอบตีกอล์ฟกับนายทุนพลังงาน เพื่อดีลสัมปทานไฟฟ้ามูลค่าหลายแสนล้านบาท เพื่อสูบเงินในกระเป๋าชาวสวนไปเข้ากระเป๋าเจ้าสัว

การปฏิรูปกองทัพ ประชาชนหมดหวังกับรัฐบาลชุดนี้แล้ว และในเรื่องของความยุติธรรม ที่คนตากใบยังรอความยุติธรรม แต่นายกฯ จงใจปล่อยปะละเลยไม่เร่งรัดติดตามตัวจำเลยที่หนีไปต่างประเทศมาดำเนินคดี ขณะที่นายกฯตัวจริงนอกระบบได้รับสิทธิอยู่ชั้น 14 เหนือระบบยุติธรรม ที่มี น.ส.แพทองธาร ผู้เป็นบุตรสาว รับรู้ รับทราบสถานะของบิดามาโดยตลอด

นอกจากนั้นในประเด็นการแก้ไขรัฐธรรมนูญที่ประชาชนมีฉันทามติ แต่น.ส.แพทองธาร ตอกฝาโลงเรียบร้อยว่าไม่มีรัฐธรรมนูญฉบับใหม่ได้ทัน ที่คุยกันในรัฐสภาเป็นละครปาหี่ที่พรรคร่วมรัฐบาล ไม่ต้องให้แก้ไข ทำให้ประเทศไทยต้อสูญเสียประโยชน์ ต้องอยู่กับรัฐธรรมนูญของคสช.

“การแจกเงินหมื่นไม่สร้างการเติบโตเศรฐกิจไทย การสร้างเอ็นเตอร์เทนเมนต์คอมเพล็กซ์ เห็นชัดล่วงหน้าว่าจะมีกลุ่มทุนที่ใกล้ชิดรัฐบาลที่ได้รับประโยชน์ เป็นการสูญเสียโอกาสของคนไทยที่ได้รัฐบาลคิดไปทำไป ดีลแลกประเทศครั้งนี้มีคนไม่ถึง 1% ได้รับผลประโยชน์ แม้จะทำลายระบบนิติรัฐ นิติธรรม ซึ่งเป็นรัฐบาลที่ตกต่ำยิ่งกว่ารัฐบาลของคสช.

ซึ่งอนาคตมีสิ่งที่ประเทศไทยต้องจ่ายมหาศาล ทั้งนี้สิ่งที่เราได้รับคือ พวกเราอ่อนแอ ไม่กล้าหวังอนาคตที่ดีกว่า ทั้งนี้การจัดตั้งรัฐบาลของดีลแลกประเทศ ทำให้ได้พรรคร่วมคณะรัฐประหาร หลอมรวมเป็นเนื้อเดียวกัน จึงไม่อาจไว้วางใจได้” นายณัฐพงษ์ กล่าว

บิ๊กป้อมโชว์แก้ ศก.ล้มเหลว

พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ สส.บัญชีรายชื่อ หัวหน้าพรรคพลังประชารัฐ อภิปรายเป็นคนต่อมาว่า ตนในฐานะหัวหน้าพรรคร่วมฝ่ายค้าน ได้เข้าชื่อเสนอญัตติอภิปรายไม่ไว้วางใจ น.ส.แพทองธาร​ ชินวัตร​ นายกรัฐมนตรี เป็นผู้มีพฤติการณ์อันไม่อาจเป็นที่ไว้วางใจ ให้บริหารราชการแผ่นดินในฐานะนายกรัฐมนตรีได้ต่อไปอีก​

การดำเนินนโยบายด้านเศรษฐกิจของนายกรัฐมนตรีล้มเหลว วันนี้ประชาชนแสนสาหัส เกิดปัญหาทุกข์ยากทุกหัวระแหง ปัญหาปากท้องไม่ได้รับการแก้ไขจากที่รัฐบาลได้ให้คำมั่นสัญญา พนักงานถูกเลิกจ้าง บริษัทห้างร้านปิดกิจการจำนวนมาก การแก้ไขปัญหาผิดที่ผิดทาง ประชาชนเกิดปัญหาหนี้สิน

ทั้งในระบบและนอกระบบ หนี้ครัวเรือนสูงขึ้นถึง 104 % ราคาข้าวโพด ข้าวสาร หมั่นสำปะหลัง อ้อยปาล์มน้ำมัน พืชผลทางการเกษตรตกต่ำ ตลาดหุ้นดำดิ่ง​ เศรษฐกิจไทยมืดหม่น​ แต่รัฐบาลกลับนิ่งเฉยไม่มีมาตรการใดๆมาแก้ปัญหาปากท้องให้กับประชาชน

ซึ่งจริง ๆ ตนพยายามเอาใจช่วยนายกรัฐมนตรี ในการแก้ไขปัญหาประชาชนให้สำเร็จ เพราะเห็นว่านายกรัฐมนตรี เคยบริหารด้านเศรษฐกิจมาก่อน และงานธุรกิจมาก่อน ก็คงมีประสบการณ์ที่จะช่วยประเทศชาติได้บ้าง แต่ปรากฏว่านายกรัฐมนตรี ไม่สามารถแก้ไขปัญหา เศรษฐกิจให้ดีขึ้นซ้ำยังถอยหลัง จนGDP ประเทศไทยรั้งท้ายในประเทศกลุ่มอาเซียน

และที่สำคัญคือการตัดสินใจที่ผิดพลาดขาดความรู้ความเข้าใจในเรื่องเศรษฐกิจ เรื่องการตัดงบประมาณนับแสนล้าน ที่ควรอัดฉีด แต่ในยุครัฐมนตรีกับนำเงินก้อนดังกล่าวไปแจกในโครงการเงินหมื่น ซึ่งธนาคารโลก และกองทุน IMF ได้มีการออกมาเตือนแล้ว ว่าการแจกเงินหมื่น นั้นไม่ได้ผล

แต่ควรกระตุ้นเศรษฐกิจผ่านโครงการต่างๆแทน ซึ่งหากนายกรัฐมนตรี ศึกษาข้อมูลอย่างรอบด้าน วันนี้คนไทยคงไม่ลำบากทุกข์ใจในเรื่องปากท้องอย่างแสนสาหัส ฉะนั้นท่านจะนำพาประเทศให้รอดพ้นปัญหาเหล่านี้ได้อย่างไร

โชว์เก๋าเคยนั่งคุมความมั่นคง

ส่วนประเด็นที่ 2 ตนห่วงประเทศชาติเป็นอย่างมาก และไม่สบายใจต่อการดำเนินนโยบายต่างประเทศและความมั่นคง โดยเฉพาะเรื่อง MOU 44 ที่วันนี้นายกรัฐมนตรี นำพาประเทศชาติไปสู่ความเสี่ยงต่อการสูญเสียดินแดนทรัพยากรทางทะเลที่มีมูลค่ามหาศาล และที่น่าเศร้าใจ คือเรื่องลูกเรือประมงของไทย​ นายกรัฐมนตรี รับปากว่าจะนำกลับมาประเทศไทย แต่ 4 เดือนแล้วก็ยังไม่ได้กลับ​

ฉะนั้นตนในฐานะที่ทำงานด้านความมั่นคงมาตลอดชีวิต และเป็นผู้บัญชาการทหารบก เป็นรองนายกรัฐมนตรีฝ่ายความมั่นคง และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม ตนทราบดีว่างานด้านความมั่นคงไม่ใช่เรื่องง่ายๆ แต่ต้องอาศัยความรู้ความเข้าใจ ตนเห็นใจนายกรัฐมนตรี ที่ต้องมาเป็นผู้ตัดสินใจ ในเรื่องที่ท่านไม่มีประสบการณ์ แต่เรื่องความมั่นคงของชาติสำคัญยิ่ง ประเทศชาติไม่ใช่เวที ที่จะมาให้มือสมัครเล่น​มาซ้อมมือได้ นะครับ

เอนเตอร์เทนเมนต์นำสู่หายนะ

ส่วนประเด็นที่ 3 การบริหารราชการแผ่นดินของนายกรัฐมนตรี โดยเฉพาะร่างกฎหมาย สถานประกอบธุรกิจสถานบันเทิงครบวงจร ที่รัฐบาลพยายามผลักดัน แต่มันมีช่องที่ทำให้เกิดการทุจริตเชิงนโยบายเพื่อประโยชน์ส่วนตน และพวกพ้อง

ขอย้ำว่ากาสิโน จะนำชาติไปสู่ความหายนะ​ และอันตรายอย่างที่สุด ก็จะทำให้สังคมอ่อนแอ และเกิดธุรกิจสีเทาติดตามมาอีกมาก ซึ่งทุกวันนี้การปฏิบัติละเลยเรื่องต่างๆส่งผลให้ประเทศไทยกลายเป็นแหล่งฟอกเงิน และธุรกิจสีเทา รวมไปถึงปัญหาอาชญากรรมรวมไปถึงมีปัญหาพนันออนไลน์มากอยู่แล้ว​

นิติกรรมอำพรางหุ้นอัลไพน์

พล.อ.ประวิตร​ ยังระบุอีกว่า อีกประเด็นที่สำคัญคือนายกรัฐมนตรีขาดคุณสมบัติตามรัฐธรรมนูญมาตรา 160 (4)(5) ที่ไม่มีความซื่อสัตย์สุจริตเป็นที่ประจักษ์​ เพราะท่านทำพฤติกรรมอำพรางยื่นบัญชีทรัพย์สินอันเป็นเท็จเพื่อหลีกเลี่ยงภาษี

ซึ่งเป็นการฝ่าฝืนมาตรฐานจริยธรรม โดยเฉพาะในเรื่องการถือหุ้นอัลไพน์ ครั้งที่รู้ว่าเป็นที่ธรณีสงฆ์แต่ท่านไม่ควรแสวงหาผลประโยชน์ในทางที่ผิด นอกจากนั้นท่านยังปล่อยปละละเลยให้บุคคลในครอบครัว มากระทำให้เกิดผลกระทบต่อการปฏิบัติหน้าที่

พล.อ.ประวิตร ยังกล่าวอีกว่าการที่บุคคลในครอบครัวของนายกรัฐมนตรีเรียกแกนนำต่างๆ ไปพูดคุยในการจัดตั้งรัฐบาลในบ้านจันทร์ส่องหล้า และบุคคลในครอบครัวของนายกรัฐมนตรี ทำตัวเป็นผู้มีอิทธิพลต่อในทางครอบงำหรือไม่

เรื่องนี้ขอให้เป็นไปตามการตรวจสอบขององค์กรที่เกี่ยวข้อง ส่วนผลจะเป็นอย่างไรตนเชื่อว่าประชาชนจะเป็นผู้ตัดสินท่านเอง

พล.อ.ประวิตร​ ยังกล่าวในช่วงท้ายว่า สิ่งที่ตนกล่าวมาไม่ใช่เป็นการกล่าวหาแต่เป็นไปตามหลักฐานข้อเท็จจริงทุกประการ ซึ่ง สส.ของพรรคพลังประชารัฐ ทั้ง 44 คน จะนำเสนอในรายละเอียดต่อไป

“ผมต้องขอขอบคุณทุกคน และนายกรัฐมนตรีรวมไปถึงประชาชนทุกคนในสิ่งที่ตนพูด ผมเป็นคนพูดไม่ค่อยเก่ง อาจไม่กระฉับกระเฉงเท่าตอนเป็นหนุ่มๆ”

ซึ่งเรียกเสียงหัวเราะจากที่ประชุมสภา รวมไปถึงนายกรัฐมนตรี และนายภูมิธรรม เวชยชัย รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม ในฐานะแกนนำพรรคเพื่อไทยด้วย

จากนั้น พล.อ.ประวิตร ยังกล่าวอีกว่าตนใช้ ใจบันดาลแรง ในการบริหารประเทศได้สำเร็จมาได้ ในหลายๆด้าน ส่วนนายกรัฐมนตรีที่เป็นคนหนุ่มสาวแข็งแรง ตนก็เชื่อว่านายกจะบริหารประเทศด้วยสติปัญญาและมีความอ่อนน้อมแต่หนักแน่นในหลักการ ยึดถือประโยชน์ประเทศชาติมากกว่าครอบครัวและพวกพ้อง ซึ่งจะทำให้ประชาชนชื่นชมและตอบรับท่านเอง

โดยหลังจากการอภิปรายเสร็จสิ้น ห้องประชุมได้ปรบมือให้กับ พล.อ.ประวิตร จนประธานในที่ประชุมขณะนั้นถึงกับต้องกล่าว เบรกว่าไม่ต้องปรบมือครับ

ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ตลอดการอภิปรายของ พล.อ.ประวิตร มีท่าทีที่เหนื่อย และมีการหยุดเว้นหายใจ

อิ๊งค์โต้ ป้อม พูดไม่จริง

จากนั้นเวลา 09.19 น. น.ส.แพทองธาร ชินวัตร นายกรัฐมนตรี ได้ลุกขึ้นชี้แจงเป็นครั้งแรกหลัง พล.อ.ประวิตร   อภิปรายจบ โดยระบุว่า หลังจากนี้คงจะมีสมาชิกฝ่ายค้านขึ้นมาอภิปรายในเด็นต่างๆอีกหลายคน ซึ่งตนก็พยายามจะตอบในทุกหัวข้อ จะได้มีความสบายใจเกิดขึ้น สำหรับหัวหน้าพรรคพลังประชารัฐผู้อาวุโส เมื่อสักครู่ ตนได้ฟังและได้จับเวลาด้วยนาฬิกาตัวเอง ใช้เวลาประมาณ 10 นาที

“และอยากบอกว่าที่ท่านสมาชิกอาวุโสพูดไม่เป็นความจริง ขอบคุณค่ะ”

จากนั้น น.ส.พิมพ์พร พรพฤฒิพันธุ์ สส.เพชรบูรณ์ พรรคพลังประชารัฐ และ นายวิโรจน์ ลักขณาอดิศร สส.บัญชีรายชื่อพรรคประชาชน ลุกขึ้นอภิปราย กล่าวหา ปมนายกฯ หลีกเลี่ยงการเสียภาษีการรับให้