นายกฯ ตอบแล้ว นิติกรรมอำพราง-หนีภาษีโอนหุ้นคนในครอบครัว

แพทองธาร ชินวัตร
แพทองธาร ชินวัตร

นายกฯ ลุกแจงข้อกล่าวหา “ทำนิติกรรมอำพราง” ใช้ตั๋ว PN ซื้อหุ้น ยันทำตามกฎหมาย-พร้อมแจง ป.ป.ช. ลั่นไม่หนีภาษีอยู่แล้ว โต้ วิโรจน์ “ผู้มีวุฒิภาวะไม่ควรทำให้แตกแยก” ย้ำที่ดินอัลไพน์มีโฉนด ’อนุทิน‘ ย้ำ นายกฯ ไร้แทรกแซงเอื้อประโยชน์ที่ดิน ก่อนลั่น “สู้ ๆ แพทองธาร”

น.ส.แพทองธาร ชินวัตร นายกรัฐมนตรี ลุกขึ้นชี้แจงภายหลังการอภิปรายของ นายภัทรพงษ์ ลีลาภัทร์ สส.พรรคประชาชน ว่าตอนเช้ามีสมาชิกอภิปรายเข้าใจว่าตนเป็นจอมยุทธ์ ซึ่งเข้าใจผิดในเรื่องของข้อเท็จจริง การใช้โวหารสำนวนต่าง ๆ เพื่อให้ประชาชนเข้าใจคลาดเคลื่อน เอาเรื่องเลี่ยงภาษีซึ่งเป็นคนละหมวดมา ทำให้เกิดความสับสน ขอยืนยันว่าการปฏิบัติถูกต้องตามกระบวนการข้อกฎหมายทุกอย่าง

“ส่วนที่กล่าวหาว่านายกรัฐมนตรีคนนี้หนีภาษีไม่เป็นความจริงเลย แต่เป็นเรื่องที่ตรงกันข้าม แม้จะมีอายุน้อยกว่าท่าน แต่มั่นใจว่าเสียภาษีให้รัฐมากกว่าท่านแน่นอน”

ส่วนเรื่องบัญชีทรัพย์สินและหนี้สิน ขอชี้แจงให้เข้าใจตรงกันว่า ชี้แจงบัญชีทรัพย์สินกับสำนักงานคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (ป.ป.ช.) แล้ว นับตั้งแต่วันที่ดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรี ครบถ้วนตามขั้นตอนทุกอย่าง และได้ยื่นคำร้องตรวจสอบความถูกต้องในกรณีที่มีการยื่นฟ้อง ซึ่งขณะนี้อยู่ระหว่างการตรวจสอบของ ป.ป.ช. โดยตนยินดีที่จะแสดงข้อมูลทุกอย่างตามที่ ป.ป.ช.ขอมา

ส่วนเรื่องธุรกรรม ก่อนการดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรี ในส่วนของหนี้สินและทรัพย์สินกิจการของตนและครอบครัว ถูกตรวจสอบอย่างเข้มข้นมาตั้งแต่รัฐประหาร 19 กันยายน 2549 ไม่เคยมีตอนไหนไม่เข้มข้น เพราะทุกบัญชีทุกธุรกรรมอยู่ในที่เปิดเผยและโปร่งใสมานานมากแล้ว รวมถึงที่ดินทุกแปลงและทุกตารางวาออกโฉนดจากรัฐ

ADVERTISMENT

น.ส.แพทองธารกล่าวอีกว่า เรื่องของหุ้นนั้น เกิดขึ้นก่อนปี 2559 ก่อนเข้าสู่การดำรงตำแหน่งทางการเมืองหลายปี ซึ่งเป็นการปรับโครงสร้างการถือหุ้นของบริษัท โดยการซื้อขายผ่านตั๋วสัญญาซื้อเงิน หรือ PN โดยเป็นหนังสือคำสัญญาว่าจะใช้เงินจำนวนหนึ่งให้กับอีกบุคคลหนึ่งตามระยะเวลาที่กำหนดไว้ ซึ่งหนังสือดังกล่าวติดอากรแสตมป์ตามกฎหมายเรียบร้อย

ฉะนั้น การซื้อขายดังกล่าวจึงเป็นภาระหนี้สินของตนและครอบครัวในฐานะผู้ขาย พร้อมยืนยันว่าไม่มีพฤติกรรมอำพรางใด ๆ เพราะการแสดงหนี้ชัดเจนแก่ ป.ป.ช.ไปแล้ว

ADVERTISMENT

ทั้งนี้ ยืนยันว่าการดำเนินการแบบนี้เป็นเรื่องปกติ และขอให้ฝ่ายค้านลองถามคนในพรรคดู ส่วนที่สมาชิกแจ้งว่าเรื่องนี้จะเป็นแหล่งทุจริต ซึ่งข้าราชการผู้ใหญ่จะออกตั๋วใช้เงิน ขบวนการค้ายาเสพติดจะออกตั๋วให้กัน ซึ่งเป็นเรื่องที่จินตนาการมากไป เพราะการออกตั๋ว PN จะใช้กับสัญญาที่ถูกกฎหมายและดำเนินการได้โดยเปิดเผย พร้อมยืนยันว่าไม่มีการกระทำนอกกฎหมาย

ส่วนการปรับโครงสร้างหุ้นจำเป็นต้องมีการซื้อขาย ซึ่ง ณ ระยะเวลานั้น ตนไม่มีความพร้อมชำระค่าหุ้นเป็นเงินสด จึงออกตั๋วสัญญาใช้หนี้แทน และแจ้งต่อ ป.ป.ช.เรียบร้อยแล้ว พร้อมกับมีการพูดคุยกันในครอบครัวว่ามีแผนที่จะชำระ โดยรอบแรกจะเกิดขึ้นปีหน้า 2569 และเชื่อว่าหลักฐานทั้งหมดจะปรากฏในบัญชีทรัพย์สินของตนอย่างแน่นอน

น.ส.แพทองธารย้ำว่า เมื่อมีความโปร่งใส ก็ไม่สามารถหลบเลี่ยงภาษีได้อยู่แล้ว

ส่วนกรณีที่ดินอัลไพน์เกิดขึ้นมาเป็นระยะเวลานานมากแล้ว โดยครอบครัวของตนซื้อที่ดินแปลงนี้มาตั้งแต่ตนอายุ 11 ปี ขณะนั้นเป็นกรรมการและไม่แน่ใจว่าจะต้องมีการอภิปรายไม่ไว้วางใจตั้งแต่ตอนนั้นหรือไม่ พร้อมย้ำว่าการซื้อที่ดินของครอบครัวทุกแปลง ไม่เคยซื้อที่ดินที่ไม่มีการออกโฉนดโดยหน่วยงานของรัฐ

น.ส.แพทองธารกล่าวอีกว่า หลังจากมีคดีความ ขั้นตอนที่เกิดขึ้นทุกอย่างเป็นไปตามกระบวนการ จนกระทั่งตนมาเป็นนายกรัฐมนตรี ไม่เคยแทรกแซงเลย ซึ่งตนอาจจะต้องอธิบายในอนาคตเพิ่มเติม และขอให้รัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย ชี้แจงในเรื่องนี้เพิ่มเติม

ส่วนกรณีที่ดินเขากระโดง ซึ่งเป็นข้อพิพาทระหว่างกรมที่ดิน การรถไฟแห่งประเทศไทย และประชาชน นายกฯระบุว่า ตนในฐานะนายกรัฐมนตรี จะกำชับเรื่องนี้เป็นอย่างดี เพื่อให้ความเป็นธรรมกับประชาชน ซึ่งทุกขั้นตอนจะต้องดำเนินการตามกฎหมายและกระบวนการ ฉะนั้น ไม่อยากให้เรื่องเซนซิทีฟเหล่านี้มาทำให้เกิดความสับสนในสังคม

“จริง ๆ แล้วเราเป็นคนรุ่นใหม่ น่าจะพร้อมรับฟัง เมื่อใครหรือผลงานใด ๆ มีประโยชน์ต่อประชาชนก็ควรจะชื่นชมบ้าง เพื่อเป็นกำลังใจในการทำงาน อย่างน้อยเราก็เป็นคนไทยเหมือนกัน มั่นใจว่าทุกคนหวังดีกับประเทศไทยเช่นกัน เพราะฉะนั้นการพูดให้คนเกิดความเกลียดชัง แตกแยก ดิฉันคิดว่าเราผู้มีวุฒิภาวะไม่ควรทำ” น.ส.แพทองธารกล่าว

จากนั้น นายวิโรจน์ ลักขณาอดิศร สส.บัญชีรายชื่อ พรรคประชาชน ลุกขึ้นใช้สิทธิพาดพิงตามข้อบังคับข้อที่ 71 ว่า นายกฯ จะเสียภาษีมากกว่าใครนั่นเป็นหน้าที่ของนายกฯ ตนมั่นใจว่าคนไทย 60 ล้านคน หรือมากกว่านั้นเสียภาษีน้อยกว่านายกฯ แต่ขอให้นายกรัฐมนตรีกลับไปดูมาตรา 50 (9) ของรัฐธรรมนูญ ที่ระบุว่าคนมีหน้าที่ต้องเสียภาษีตามกฎหมายกำหนด ทุกคนจะเสียมากหรือเสียน้อยย่อมมีศักดิ์ศรีเท่ากัน ฉะนั้น การตอบแบบนี้ย่อมไม่คำนึงถึงศักดิ์ศรีความเป็นมนุษย์

ต่อจากนั้น นายจุลพันธ์ อมรวิวัฒน์ รมช.คลัง ในฐานะ สส.เชียงใหม่ พรรคเพื่อไทย ลุกขึ้นประท้วงประธานที่ประชุมขอให้วางตัวเป็นกลางว่า อย่าญัตติการอภิปรายไม่ไว้วางใจเป็นกระทู้ ซึ่งเข้าใจว่าสามารถใช้สิทธิพาดพิงได้ แต่สิ่งที่นายวิโรจน์พูดไม่เกี่ยวกับสิ่งที่ถูกพาดพิง และขอให้ประธานวินิจฉัยและควบคุมการประชุม

ทำให้นายวิโรจน์กล่าวต่อว่า การเสียภาษีมากน้อยไม่ได้สำคัญเท่ากับการเสียภาษีตามที่กฎหมายบัญญัติตามกฎหมายรัฐธรรมนูญ แต่หากเสียภาษีมากและหาเทคนิคในการหลบเลี่ยงหนีภาษีต่างหากที่น่ารังเกียจ

ขณะที่ประธานระบุกรณีดังกล่าวว่า นายกรัฐมนตรีไม่ได้พาดพิงให้นายวิโรจน์เสียหาย

ด้านนายอนุทิน ชาญวีรกูล รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย ลุกขึ้นชี้แจงในฐานะที่ได้รับมอบหมายจากทางนายกรัฐมนตรี กรณีที่นายจุลพงษ์ อยู่เกษ สส.บัญชีรายชื่อพรรคประชาชน ที่มีการอภิปรายพาดพิงไปถึงที่ดินเขากระโดงและที่ดินอัลไพน์ ซึ่งในขณะที่ท่านได้อธิบายพยายามผูกโยง 2 เรื่องนี้ ว่ามีการเอื้อประโยชน์ระหว่างครอบครัวของนายกรัฐมนตรี

ตนเองที่กำกับดูแลกระทรวงมหาดไทย จึงขอชี้แจงเพื่อไม่ให้เกิดความสับสนต่อประชาชน ว่ารัฐบาลและกระทรวงมหาดไทยไม่ใช่กิจการของคนใดคนหนึ่ง หรือครอบครัวของใคร เพราะฉะนั้น จะมาแบ่งปันผลประโยชน์ใด ๆ ไม่ได้

และขอยืนยันว่านายกรัฐมนตรีไม่เคยเข้ามาแทรกแซงหรือสั่งการใด ๆ ทั้งสิ้น ทั้งทางตรงและทางอ้อม เพื่อให้กรมที่ดิน กระทรวงมหาดไทย หรือแม้แต่ตัวของผมเอง ให้ทำการเอื้อประโยชน์ต่อบริษัทอัลไพน์และบุคคลในครอบครัวของท่านแม้แต่ครั้งเดียว ซึ่งกรณีการถอนเอกสารสิทธิที่ดินสนามกอล์ฟอัลไพน์ เป็นปัญหายืดเยื้อมานานกว่า 20 ปี ผ่านมาหลายรัฐบาลแล้ว และมีคำพิพากษาของศาล ซึ่งมีบุคคลหลายท่านได้ต้องโทษคำพิพากษาของศาลนั้นไปแล้ว

แต่ประเด็นในเรื่องของการเพิกถอนสิทธิได้มายุติในรัฐบาลของ น.ส.แพทองธาร ด้วยนโยบายของท่านที่ให้ดำเนินการตามกฎหมาย ยึดความถูกต้องเป็นหลักในการดำเนินงานอย่างเคร่งครัด ในขณะที่ได้ทำเรื่องนี้ ได้ถามอธิบดีกรมที่ดิน ว่าท่านรู้สึกกดดันอะไรหรือไม่ในเรื่องสนามกอล์ฟอัลไพน์ และเขากระโดง โดยอธิบดีกรมที่ดินได้ยืนยันกับตนและคณะทำงานอย่างชัดเจนว่าไม่มีความกดดันใด ๆ ทั้งสิ้น และยินดีที่จะปฏิบัติตามกฎหมาย ตามหน้าที่ทุกประการ

ดังนั้น แทนที่จะกล่าวหาว่านายกรัฐมนตรีทำเพื่อประโยชน์ของท่านและบุคคลในครอบครัว ที่จริง ๆ แล้วควรจะชื่นชมนายกรัฐมนตรีที่ได้ให้นโยบายต่อกระทรวงมหาดไทยและกรมที่ดินผ่านตน ให้ยึดถือกฎหมายเป็นหลักและไม่ต้องคำนึงถึงผลกระทบใด ๆ ที่จะไปถึงตัวท่านเองและครอบครัว และขณะนี้ได้มีการเพิกถอนเอกสารสนามกอล์ฟอัลไพน์ที่ลงนามโดยปลัดกระทรวงมหาดไทย

ดังนั้น ต้องถือว่าขณะนี้ตัวนายกรัฐมนตรีและครอบครัวของท่านเป็นหนึ่งในผู้เสียหายเช่นเดียวกับผู้ที่เป็นลูกบ้านอัลไพน์รายอื่น ๆ เรื่องท่านจะต้องไปใช้สิทธิทางศาล เพื่อขอความเป็นธรรมให้กับตนเอง รับค่าตอบแทนจากการทำนิติกรรม ที่เป็นการบกพร่องของกรมที่ดิน

ส่วนปัญหาที่ดินเขากระโดงก็เช่นกัน เป็นกรณีกรมที่ดินปฏิบัติตามคำสั่งศาลปกครอง ไปตั้งคณะกรรมการขึ้นมาสอบสวน ซึ่งคณะกรรมการมีมติเป็นเอกฉันท์ ไม่มีเหตุผลเพียงพอต่อการเพิกถอนเอกสารสิทธิที่ดิน ตามที่การรถไฟฯ ได้ขอต่อศาลปกครอง ขณะนี้การรถไฟฯ ก็ยังคงสิทธิที่จะไปฟ้องศาลต่อให้ศาลมีคำสั่งว่าจะเพิกถอนหรือไม่เพิกถอน

แต่คำพิพากษา ณ ขณะนี้ ระบุไว้ว่า “การดำเนินการของคณะกรรมการสอบสวน ตามมาตรา 61 เมื่อดำเนินการตามขั้นตอนที่กฎหมายกำหนดไว้แล้ว ศาลไม่สามารถก้าวล่วงได้ ซึ่งในคำพิพากษาของศาลยังเขียนไว้ว่าศาลยังก้าวล่วงไม่ได้ แล้วนับประสาอะไรที่นายกรัฐมนตรี หรือรองนายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย จะไปสั่งการและก้าวล่วงให้เป็นอย่างอื่น

จึงขอสรุปว่าให้ที่ดินเขากระโดงอยู่ในกระบวนการพิจารณาของศาลปกครองแล้ว และกรณีของการเพิกถอนเอกสารสิทธิสนามกอล์ฟอัลไพน์กับเขากระโดง ไม่มีความเกี่ยวข้องกันอย่างใด และไม่มีการตกลงแลกประโยชน์กันแม้แต่เล็กน้อย

โดยทั้งสองกรณี ทางกรมที่ดินต้องดำเนินการตามคำสั่งของศาล และเกิดขึ้นมาก่อนที่นายกรัฐมนตรีที่ชื่อ น.ส.แพทองธาร ชินวัตร ตัวผมเองในฐานะรัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย จะเข้ามาดำรงตำแหน่ง จึงอยากจะเรียนว่าข้อกล่าวหาจากการอภิปรายของสมาชิกที่พูดไปในช่วงเช้าไม่มีข้อเท็จจริง และไม่มีมูลแต่ประการใด ในฐานะที่ตนเป็นพรรคร่วมรัฐบาลขออนุญาตชี้แจงและขอจบด้วยคำว่า สู้ ๆ แพทองธาร”

ซึ่งภายหลังจากที่นายอนุทินได้ชี้แจงจบ ก็ได้รับเสียงหัวเราะจากสมาชิกในห้องประชุมสภา