แพทองธาร VS วิโรจน์ ในวิวาทะหนี้ปลอม และ ‘เสียภาษีมากกว่าท่านแน่นอน’

แพทองธาร VS วิโรจน์

การอภิปรายไม่ไว้วางวางใจครั้งแรกของ น.ส.แพทองธาร ชินวัตร นายกรัฐมนตรี ปมร้อนแรงที่สุดหนีไม่พ้นการอภิปรายของ “วิโรจน์ ลักขณาอดิศร” สส.บัญชีรายชื่อพรรคประชาชน ที่กล่าวหานายกฯ ถึงการสร้างหนี้ปลอม นำมาสู่การเลี่ยงภาษี 218.7 ล้าน โดยการออกตั๋วสัญญาการใช้เงิน (Promissory Note)

ขณะที่นายกฯ ปฏิเสธเรื่องดังกล่าว โดยยืนยันว่าไม่ได้เลี่ยงภาษี และเสียภาษีมากกว่านายวิโรจน์

เชือดเฉือนปมหนีภาษี

วิโรจน์ : หน้าที่ของปวงชนชาวไทย ระบุเอาไว้อย่างชัดเจนว่า บุคคลมีหน้าที่เสียภาษีอากรตามที่กฎหมายบัญญัติ ซึ่งนายกรัฐมนตรีก็ไม่ได้รับการยกเว้น โดยสำนึกแล้วคนที่เป็นนายกรัฐมนตรีควรจะเป็นตัวอย่างที่ดีในเรื่องการเสียภาษีด้วยซ้ำ ถ้าตัวนายกรัฐมนตรียังทำตัวหนีภาษี ความเป็นธรรมในเรื่องภาษีจะเกิดขึ้นกับประชาชนได้อย่างไร

แพทองธาร : ที่ผ่านมามีสมาชิกเข้าใจว่าตัวเองเป็นจอมยุทธ์ กำลังสำคัญผิดในข้อเท็จจริง การใช้สำนวนโวหารทำให้ประชาชนเกิดความเข้าใจคลาดเคลื่อน เอาเรื่องภาษีที่เป็นคนละหมวดกันทำให้เกิดความสับสน

ขอยืนยันทั้งการปฏิบัติและเจตนาที่ดำเนินการทุกอย่างตรงไปตรงมา ถูกต้องตามกระบวนการกฎหมายทุกอย่าง การที่กล่าวหาว่านายกฯ คนนี้หนีภาษีไม่เป็นความจริงเลย จริง ๆ แล้วเป็นเรื่องที่ตรงกันข้าม ถึงแม้ดิฉันจะอายุน้อยกว่าท่าน แต่มั่นใจว่าเสียภาษีให้รัฐมากกว่าท่านแน่นอน

วิโรจน์ : มั่นใจคนไทย 60 ล้านคนหรือมากกว่านั้น เสียภาษีน้อยกว่านายกฯ แต่กฎหมายกำหนดว่าบุคคลมีหน้าที่เสียภาษีตามที่กฎหมายบัญญัติจะเสียมากหรือน้อยมีศักดิ์ศรีเท่ากัน เสียภาษีมากน้อยไม่สำคัญตราบใดที่เสียตามที่กฎหมายบัญญัติถือว่าถูกต้อง กลับกันเสียมากแต่หาวิธีหลบเลี่ยงต่างหากที่เป็นเรื่องน่ารังเกียจ

ADVERTISMENT

วิวาทะปมหนี้ปลอม

วิโรจน์ : หลังจากที่ได้รับการโปรดเกล้าฯ นายกรัฐมนตรีโอนหุ้นบริษัท 19 บริษัท มูลค่า 9,330.5 ล้านบาท แต่มี 2 บริษัท มูลค่า 393.5 ล้านบาท โอนไปให้แม่และพี่สาว ตนจึงถามว่าเป็นการโอนไปด้วยวิธีการใด เป็นการให้ หรือเป็นการขายหุ้น

หุ้นตัวแรก คือบริษัทอัลไพน์ กอล์ฟ แอนด์ สปอร์ตคลับ 224.1 ล้านบาท โอนไปให้คุณหญิงพจมาน ดามาพงศ์ ผู้เป็นแม่ เมื่อวันที่ 4 ก.ย. 2567 และหุ้นตัวที่สอง บริษัทประไหมสุหรี พรอพเพอร์ตี้จำกัด จำนวน 169.4 ล้านบาท โอนให้ น.ส.พินทองทา ชินวัตร คุณากรวงศ์ พี่สาว เมื่อวันที่ 5 ก.ย. 2567 ถ้าการโอนหุ้นของนายกรัฐมนตรีไปให้แม่และพี่สาว ก็ต้องมีภาระในการจ่ายภาษี กรณีของแม่ต้องเสียภาษีรับให้ 10.2 ล้านบาท ในขณะที่พี่สาว 8 ล้านบาท รวมแล้วรัฐต้องได้ 18.2 ล้านบาท ซึ่งนายกรัฐมนตรีทำนิติกรรมอำพรางในการหนีภาษีรับให้มาตั้งแต่ปี 2559 อ้างว่าให้โดยเสน่หา ภาษีสักสลึงก็ไม่ต้องเสีย

ADVERTISMENT

เมื่อไปดูบัญชีทรัพย์สิน พบว่านายกรัฐมนตรีมีหนี้ 9 รายการ เป็นเอกสาร 9 แผ่นกระดาษ วิธีการที่นายกรัฐมนตรีใช้ แวดวงธุรกิจเรียกกันว่า ตั๋ว PN ซึ่งเป็นหนี้สินเชื่อ โดยนายกรัฐมนตรีซื้อหุ้นกับพี่สาว พี่ชาย ลุง ป้าสะใภ้ และแม่ เป็นการซื้อเชื่อ แล้วออกตั๋ว PN เพียงเท่านั้น ไม่ได้ซื้อขายจริง

“ซื้อหุ้นกันภาษาอะไร ไม่มีกำหนดว่าจะจ่ายเงินค่าซื้อหุ้นกันเมื่อไหร่ ถ้าชาตินี้ไม่มีใครทวง แพทองธารก็ไม่ต้องจ่าย ลืมไปได้เลยว่าเคยเป็นหนี้ เพราะดอกเบี้ยก็ไม่มีใครคิด แพทองธารไม่ต้องกังวลเลยว่าจะต้องมีภาระในการจ่าย พี่ชาย พี่สาว ลุง ป้าสะใภ้ และแม่ เป็นเจ้าหนี้ที่แสนดี มีความกรุณามาก ๆ นอนกอดกระดาษ 9 ใบ โดยที่ไม่รู้ว่าเงิน 4,434.5 ล้านบาท จะได้เมื่อไหร่ โอ้โฮ ถ้าตั๋ว PN ทั้ง 9 ใบนี้เป็นจริงตามที่ผมว่า ก็แสดงว่าการซื้อหุ้นของแพทองธาร ทำนิติกรรมบังหน้า เอาเปรียบประชาชน เป็นการบ่อนทำลายประเทศ”

“นายกรัฐมนตรีใช้ตั๋ว PN สร้างหนี้ปลอม หลีกเลี่ยงภาษีจำนวนสูงถึง 218.7 ล้าน หนีภาษีถึงเกือบ 15% ของภาษีมรดกที่จัดเก็บได้ในปี 2567 ซึ่งถ้าพิจารณาถึงกระบวนท่ากันจริง ๆ ถือเป็นกระบวนท่าที่ใช้ภายในจักรวาลชินวัตร ถ้าติดตามนวนิยายจีน จะทราบดีว่าเป็นเทคนิคการเคลื่อนย้ายจักรวาลที่เคยสั่นสะเทือนมาแล้วเมื่อปี 2544 หรือเมื่อ 20 ปีก่อน ตอนนั้นเจ้าสำนักไม่ใช่ใครยักย้ายถ่ายเท หรือซุกหุ้นกันในเฉพาะเครือญาติ แต่ถึงกับเอาไปซุกไว้กับคนรับใช้ เอาไปให้คนขับรถ ล้ำลึกมาก ๆ ตนประเด็นที่อภิปรายในวันนี้ไปยื่นให้อธิบดีกรมสรรพากรเพื่อตรวจสอบต่อ”

แพทองธาร : เรื่องธุรกรรม ก่อนการดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรี ในส่วนของหนี้สินและทรัพย์สินกิจการของตนและครอบครัว ถูกตรวจสอบอย่างเข้มข้นมาตั้งแต่รัฐประหาร 19 กันยายน 2549 ไม่เคยมีตอนไหนไม่เข้มข้น เพราะทุกบัญชีทุกธุรกรรมอยู่ในสายตาที่เปิดเผยและโปร่งใสมานานมากแล้ว รวมถึงที่ดินทุกแปลงและทุกตารางวาออกโฉนดจากรัฐ

ซึ่งการซื้อขายแบบนี้บางรายการไม่มีการเสียภาษี เพราะยังไม่มีการชำระเงิน จึงยังไม่ทราบจำนวน และยังเสียภาษีไม่ได้ จึงเป็นภาระหนี้สินระหว่างดิฉันในฐานะผู้ซื้อและครอบครัวในฐานะผู้ขาย ชัดเจนอยู่แล้วไม่มีพฤติกรรมอำพรางใด ๆ เพราะถ้ามีการซื้อขาย ยอดหนี้ที่เห็นก็ยังต้องแสดงชัดเจน ได้ยื่น ป.ป.ช.ไปแล้ว ตรวจสอบได้อีกเช่นกัน

การดำเนินการแบบนี้เป็นเรื่องปกติ และขอให้ฝ่ายค้านลองถามคนในพรรคดูมีการทำธุรกิจประมาณนี้ มีการทำตั๋วสัญญาการใช้หนี้แบบนี้หรือไม่ ถ้ามีก็ถือเป็นเรื่องปกติ

ส่วนที่สมาชิกแจ้งว่าเรื่องนี้จะเป็นแหล่งทุจริต ซึ่งข้าราชการผู้ใหญ่จะออกตั๋วใช้เงิน ขบวนการค้ายาเสพติดจะออกตั๋วให้กัน ซึ่งเป็นเรื่องที่จินตนาการมากไป เพราะการออกตั๋ว PN จะใช้กับสัญญาที่ถูกกฎหมายและดำเนินการได้โดยเปิดเผย พร้อมยืนยันว่าไม่มีการกระทำนอกกฎหมาย

“การเลือกใช้วิธีออกตั๋วสัญญาใช้เงินแทนการรับให้ เป็นการทำธุรกิจแบบเปิดเผย ไม่สามารถแอบทำได้ และผู้มีส่วนเกี่ยวข้องล้วนแต่บรรลุนิติภาวะแล้ว แล้วการปรับโครงสร้างหุ้น จำเป็นต้องมีการซื้อขาย แต่ ณ เวลานั้นไม่มีความพร้อมในการชำระค่าหุ้นเป็นเงินสด จึงออกตั๋วสัญญาใช้หนี้แทน ได้แสดงบัญชีทรัพย์สินต่อ ป.ป.ช.เรียบร้อยแล้ว และมีการพูดคุยกันในครอบครัวว่ามีแผนที่จะชำระ

โดยรอบแรกจะเกิดขึ้นภายในปีหน้า 2569 เป็นสิ่งที่ดิฉันและครอบครัวตกลงกัน และเมื่อมีการซื้อขายเกิดขึ้นทั้งหมดจะปรากฏในบัญชีทรัพย์สินของตนอย่างแน่นอน”

“และพอมีการซื้อขาย มีการต้องจ่ายภาษีเกิดขึ้น ยังไงเราก็หลบการจ่ายภาษีไม่ได้อยู่แล้วนะคะ”