
นายกฯ พ้อ อะไร ๆ ก็ดิฉัน ไม่เคยอนุมัติซื้อไฟฟ้าเพิ่มกับบริษัทใด โชว์ 6 กระทรวงแก้ฝุ่น PM 2.5 ชี้รถไฟเชื่อม 3 สนามบินในขั้นตอนฝ่ายปฏิบัติ
ที่รัฐสภา ในการพิจารณาญัตติอภิปรายไม่ไว้วางใจรัฐมนตรี น.ส.แพทองธาร ชินวัตร นายกรัฐมนตรี ได้อภิปรายชี้แจงในเรื่องของการแก้ปัญหาฝุ่น PM 2.5 ว่า ที่มีการอภิปรายว่าไม่ได้ทำให้เป็นเรื่องจริงจัง แต่เป็นวาระแห่งชาติอยู่แล้ว ตนพูดคนแรกเลยว่าขอให้เป็นวาระแห่งอาเซียน เช่น ตอนนี้ภาคเหนือตอนบนของเรามีฝุ่นควันเข้ามาค่อนข้างหนาแน่นแม้จะหยุดไป แต่เดือนพฤษภาคมก็จะกลับมาเยอะใหม่ ตรงนี้เป็นฝุ่นควันที่มาจากประเทศเพื่อนบ้านซึ่งเราต้องประสานงานกันในทุกระดับ
ไม่ว่าจะเป็นระดับอธิบดีกับอธิบดี ปลัดกระทรวงกับปลัดกระทรวง รัฐมนตรีกับรัฐมนตรี เพื่อขอความร่วมมือ ความช่วยเหลือ และเพื่อที่จะให้ประเทศเพื่อนบ้านของเราร่วมกันไม่เผาในพื้นที่เกษตรของเขาเช่นกัน เราได้ติดต่อไปแล้ว และติดต่อกลับมาว่ากำลังทำเรื่องนี้อยู่เช่นกัน และทราบดีว่าควันมาจากทางเขา ซึ่งก็ชัดเจน เชื่อว่ามีหลายประเด็นที่ชี้แจงเพิ่มได้
ส่วนที่สมาชิกระบุว่าได้แต่สั่ง ไม่มีคนทำนั้น ท่านอย่าพูดอย่างนั้นเลย การอภิปรายครั้งนี้ท่านอภิปรายตน อย่าอภิปรายข้าราชการทั้งประเทศเลย เรื่องนี้เป็นเรื่องระดับประเทศ ตนแทบไม่ต้องสั่งการเลย เมื่อพูดคำเดียวปุ๊บข้าราชการอยากทำเรื่องนี้เป็นอย่างมาก เพราะทุก ๆ คนอยากทำเพื่อประเทศเช่นกัน ไม่ใช่แค่กลุ่มเฉพาะกลุ่มท่านเท่านั้นที่อยากจะทำเพื่อประเทศ
“ข้าราชการเองก็อยากทำ เราทุกคนอยากทำเพื่อประเทศทั้งนั้น อย่าขีดเส้นตัดสินกันอย่างนี้เลย ข้าราชการทุกท่านที่ดิฉันขอความร่วมมือทำอย่างเต็มที่ เขาก็อยากได้ประเทศมีอากาศบริสุทธิ์เช่นกัน ขออย่าทำแบบนี้เลย” น.ส.แพทองธารกล่าว
นายกรัฐมนตรีกล่าวอีกว่า ที่ผ่านมาฝุ่นลดลงอย่างมากด้วยมาตรการต่าง ๆ ทั้งกระทรวง ข้าราชการ ประชาชนให้ความร่วมมือ การที่ค่าฝุ่นลดลงอย่างเห็นได้ชัดในปีนี้เมื่อเทียบกับปีที่แล้ว เป็นเพราะเกิดการบูรณาการจากทุกฝ่ายร่วมกัน
อย่างแรกกระทรวงมหาดไทย โดยนายอนุทิน ชาญวีรกูล รองนายกฯ และรมว.มหาดไทย ได้สั่งการ 76 จังหวัดยกระดับปฏิบัติการและบังคับใช้ข้อกฎหมายอย่างเด็ดขาด มีการประกาศห้ามเผาและขอความร่วมมือจากพี่น้องประชาชน ส่งผลให้การเผาในพื้นที่เกษตรลดลง และมีการดำเนินคดีกับผู้ที่จงใจที่จะฝ่าฝืนภายใน 3 เดือนเกิดขึ้นถึง 133 คดี
กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม ตนได้อนุมัติงบฯ กลางเพื่อเฝ้าระวังไฟป่า ล่าสุดได้คุยกับข้าราชการระดับอธิบดี ทุกคนพูดว่างบฯ นี้ช่วยได้อย่างมาก เพราะได้กระจายไปทั้งกรมป่าไม้และกรมอุทยานฯ สามารถทำให้มีคนเฝ้าระวังจุดต่าง ๆ ถึง 3,895 จุด ซึ่งการเฝ้าระวังแต่ละจุดมีจำนวนมากกว่าปี 2567 ถึง 50% จึงสามารถควบคุมไฟป่าได้อย่างดีขึ้นอย่างเห็นได้ชัด นอกจากนี้ ยังมีชุดลาดตระเวน ชุดปฏิบัติการพิเศษดับไฟป่า และมีการระดมสรรพกำลังจากเจ้าหน้าที่ป่าไม้ ฝ่ายทหาร ฝ่ายปกครอง รวมถึงอาสาสมัครมากกว่า 18,000 คน มากกว่าปีที่แล้วถึง 40% ทำให้จุดความร้อนลดลงไปถึง 30% นี่คือสิ่งที่เกิดขึ้น
กระทรวงเกษตรและสหกรณ์มีมาตรการเพื่อป้องกันการเผาในพื้นที่เกษตรด้วย โดยในช่วงวันที่ 17 ม.ค.-31 ม.ค. หากมีการเผาจะไม่ได้รับสิทธิในการเข้าร่วมสนับสนุนและพัฒนาเกษตรกร นอกจากนี้ ครม.อนุมัติงบฯ 200 ล้านบาทให้กรมฝนหลวง เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพในการป้องกันการแก้ปัญหาเรื่องน้ำแล้งด้วย มีการดัดแปลงสภาพอากาศให้บรรเทาปัญหาเรื่องของฝุ่นขนาดเล็ก
กระทรวงอุตสาหกรรม มีนโยบายงดรับซื้ออ้อยจากการเผา ปี 2567 มีอ้อยที่เข้าโรงงานน้ำตาลจากการเผาจำนวน 30% ดังนั้น ในปีนี้รัฐบาลตั้งเป้าไว้ที่ 25% แต่ผลปรากฏว่าความร่วมมือแบบบูรณาการปีนี้ ปัจจุบันเหลือเพียง 15% ซึ่งรัฐบาลจะพยายามสนับสนุนเรื่องนี้ต่อไป
กระทรวงสาธารณสุข มีการแจ้งเตือนในพื้นที่ที่ฝุ่นจะมาก มีการให้ความรู้ว่าจะป้องกันอย่างไร ปฏิบัติตัวอย่างไร มีการจัดชุดดูแลสุขภาพประชาชนในพื้นที่ มีการจัดทำห้องปลอดฝุ่นกว่า 17,000 ห้อง รองรับประชาชนได้กว่า 2 ล้านคน
กระทรวงคมนาคม เข้มงวดกับการจับรถควันดำทั่วประเทศที่มากขึ้น ในปีที่ผ่านมาตรวจจับได้กว่า 1.5 แสนคัน ซึ่งมากกว่าปี 2567 ถึง 7 เท่า รวมถึงมีการออกคำสั่งห้ามใช้รถที่ปล่อยควันดำกว่า 2,500 คัน หรือ 2 เท่า ดังนั้น สิ่งที่ตนกล่าวมาเป็นเพียงส่วนหนึ่งของมาตรการที่รัฐบาลและหน่วยงานต่าง ๆ กำลังดำเนินการทำกันอยู่ รวมถึงมีอาสาสมัครต่าง ๆ ภาคประชาชนที่เข้ามาช่วยกันซึ่งตนต้องขอขอบคุณ เพราะถ้าไม่ได้ความร่วมมือจากทุกท่าน ผลของฝุ่นควันจะลดลงขนาดนี้ได้คงไม่เกิดขึ้น
“เราคงไม่สามารถที่จะทำให้ฝุ่นหายไปได้ในพริบตา แต่เราเห็นแล้วว่าจุดความร้อนที่ลดลงอาจจะมีบางวันที่มีฝุ่นมากไป แต่ค่าเฉลี่ยจำนวนวันน้อยกว่าปีที่แล้ว อย่างน้อย ๆ รัฐบาลมาถูกทางแล้ว และจะดำเนินการแบบนี้ต่อไป และจะขอความร่วมมือจากทุกภาคส่วนต่อไป เราอยากบอกว่าปัญหาเรื่องฝุ่นไม่ใช่ปัญหาของรัฐบาลชุดใดชุดหนึ่ง หรือใครคนใดคนหนึ่ง แต่เป็นปัญหาของคนไทยทุกคนที่ต้องร่วมมือกัน เพื่อที่จะทำให้เกิดผลในภาพรวมภาพใหญ่ นี่คือสิ่งสำคัญมาก แน่นอนว่ารัฐบาลจะใช้ทุกสรรพกำลังเพื่อทำให้ประเทศของเรามีอากาศที่ดีขึ้น คืนอากาศบริสุทธิ์ให้กับคนไทยเร็ว ๆ และทำเต็มที่ทุกทางที่ทำได้ หากฝ่ายค้านมีข้อแนะนำใด ๆ เพิ่มเติมจากสิ่งที่รัฐบาลทำไปแล้ว เรายินดีรับฟัง” นายกรัฐมนตรีกล่าว
กระทรวงพลังงาน รัฐบาลชุดนี้ไม่เคยดำเนินการใด ๆ อย่างที่กล่าวหาเลย ไม่เข้าใจว่าท่านอภิปรายรัฐบาลชุดไหน วันนี้นอกจากท่านจะพูดถึงซื้อที่ดินอัลไพน์ตอนดิฉันอายุ 11 ขวบแล้ว ก็ไม่ทราบว่ารัฐบาลชุดไหนทำ เป็นรัฐบาลชุดอื่น ๆ
“ดิฉันรับฟังแล้ว ดิฉันคิดขึ้นมาว่า อะไร ๆ ก็ดิฉัน ซึ่งอาจจะเข้าใจผิดกัน เรื่องค่าไฟฟ้าที่กล่าวหาว่ารัฐบาลทำให้ค่าไฟแพง เอื้อประโยชน์ให้กับนายทุนและพวกพ้อง ดิฉันขอยืนยันว่ารัฐบาลชุดนี้ยังไม่เคยอนุมัติซื้อไฟฟ้าเพิ่มกับบริษัทใด ๆ เลย แม้แต่การซื้อขายไฟฟ้าจากเพื่อนบ้านที่สมาชิกระบุว่าเอื้อกลุ่มทุนนั้น ดิฉันมีข้อมูลว่าสัญญาซื้อขายไฟฟ้าทำกันมานานหลายปีแล้วก่อนที่ดิฉันจะดำรงตำแหน่งนายกฯ ดิฉันคิดว่าเป็นข้อมูลที่คลาดเคลื่อนและไม่ถูกต้อง ตรงนี้เป็นการอภิปรายผลงานของรัฐบาลชุดอื่น”
น.ส.แพทองธารกล่าวต่อว่า ที่สมาชิกอภิปรายเรื่องปลาหมอคางดำ โดยมีการเปรียบเทียบตนได้รับดอกไม้จากพี่น้องประชาชนกับกลุ่มสมาคมประมงแห่งประเทศไทย เทียบกับเรื่องปัญหาปลาหมอคางดำ ขอชี้แจงว่ามีตัวแทนจากสมาคมประมงจากหลายจังหวัดมาให้ดอกไม้ และบอกว่าขอบคุณนายกฯ ที่อนุมัติงบฯ กลาง 1,600 กว่าล้าน เพื่อชดเชยเรื่องเรือประมงจากกรณีไอยูยู ซึ่งเป็นปัญหาที่เกิดขึ้นจากรัฐบาลก่อนการเลือกตั้ง
ส่วนเรื่องการแก้ไขปัญหาปลาหมอคางดำในวันที่พี่น้องมาที่ทำเนียบรัฐบาลนั้น เราไม่แบ่งแยกว่าใครจะมาที่ทำเนียบรัฐบาล ทุกวันอังคารมีการประชุมคณะรัฐมนตรี ซึ่งรัฐมนตรีมาหมด เมื่อมีม็อบหรือมีคนมาเรียกร้องหน้าทำเนียบ เราก็จะส่งรองเลขาธิการนายกฯ ไปพูดคุย ซึ่งในวันนั้นมีอธิบดีด้วยได้ไปพูดคุย ซึ่งเราให้เกียรติพี่น้องประชาชนทุกคน บางสัปดาห์ก็เป็นเรื่องของกระทรวงอื่นก็ให้รัฐมนตรี หรือปลัด อธิบดีลงไปบ้าง ซึ่งก็ส่งตัวแทนไปพูดคุยทุกครั้ง ไม่มีการละเลยพี่น้องประชาชน ตนในฐานะนายกฯ ไม่เคยคิดว่าจังหวัดไหนต้องอะไร อย่างไร ทุกที่เป็นประเทศไทย ตนเป็นนายกฯ ต้องดูแลพี่น้องทุกจังหวัด ไม่จำเป็นต้องเลือกว่าใครเป็นใคร มันเลือกได้หรอคะ มันไม่ใช่ค่ะ
น.ส.แพทองธารกล่าวอีกว่า ต่อเนื่องจากรัฐบาลเศรษฐา ทวีสิน มีการอนุมัติงบฯ กลางปี’67 ดำเนิน 7 มาตรการเพื่อควบคุมและกำจัดปลาหมอคางดำ ปีนี้ในที่ประชุมคณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบอนุมัติงบฯ กลาง 98 ล้านบาทเพื่อดำเนินการต่อ ขณะเดียวกัน เรารับข้อเสนอสี่ข้อของกลุ่มเกษตรกรที่ได้ดำเนินไปแล้วนอกจากเรื่องงบประมาณ มีการตั้งคณะทำงานด้วยเพื่อพูดคุยในเชิงลึกมากขึ้น และทำตามที่พี่น้องประชาชนเรียกร้อง ซึ่งเราได้พิจารณากรอบความช่วยเหลือเยียวยาผู้ที่ได้รับผลกระทบ ตรงนี้เราทำกันอย่างจริงจัง รัฐบาลได้ดำเนินทุกข้อเรียกร้องของประชาชน เพื่อแก้ปัญหาให้กับพี่น้องประชาชนจะได้มีกิน มีใช้ มีเกียรติ มีศักดิ์ศรีไปพร้อม ๆ กัน
“ส่วนสัญญาโครงการรถไฟความเร็วสูงเชื่อมสามสนามบิน และ Double Deck อยู่ในขั้นตอนของฝ่ายปฏิบัติ ยังไม่ได้อยู่ในระดับนโยบายเลย ท่านก็ไม่ไว้วางใจดิฉันแล้ว อยากจะเรียนไว้ว่าเราตั้งใจทำงานเพื่อพี่น้องประชาชนจริง ๆ ติชมได้เสมอ เป็นเรื่องที่เราน้อมรับอยู่แล้ว ความคิดเห็นของพี่น้องประชาชนสำคัญกับรัฐบาลของเราอย่างมาก เราจะทำหน้าที่ดีที่สุด” น.ส.แพทองธาร กล่าว