
ในศึกอภิปรายไม่ไว้วางใจครั้งแรกของ น.ส.แพทองธาร ชินวัตร นายกรัฐมนตรี และของรัฐบาล ตั้งแต่ฟอร์มรัฐบาลในปี 2566
ฝ่ายค้าน นำโดยพรรคประชาชน ใช้ธีม “ดีลแลกประเทศ” แตะปมร้อนแรง-ลากยาวตลอด 2 วัน ที่เกี่ยวเนื่องกับการบริหารราชการแผ่นดิน พันไปถึงการตั้งข้อกล่าวหา “นิติกรรมอำพราง” เกี่ยวกับการเลี่ยงภาษีของนายกรัฐมนตรี และมีหลายเรื่องที่เกี่ยวพันด้านเศรษฐกิจ-ปากท้อง และลมหายใจของประชาชน
ข้อกล่าวหาหนี้ปลอม
ซึ่งเรื่องการเลี่ยงภาษี ด้วยการออกตั๋วสัญญาการใช้เงิน ด้วยข้อกล่าวหานายกฯ ถึงการสร้างหนี้ปลอม นำมาสู่การเลี่ยงภาษี 218.7 ล้าน โดยการออกตั๋วสัญญาการใช้เงิน (Promissory Note) นำเสนอโดย นายวิโรจน์ ลักขณาอดิศร สส.บัญชีรายชื่อ พรรคประชาชน
นายวิโรจน์กล่าวว่า หลังจากที่ได้รับการโปรดเกล้าฯ นายกรัฐมนตรีโอนหุ้นบริษัท 19 บริษัท มูลค่า 9,330.5 ล้านบาท แต่มี 2 บริษัท มูลค่า 393.5 ล้านบาท โอนไปให้แม่และพี่สาว ตนจึงถามว่าเป็นการโอนไปด้วยวิธีการใด เป็นการให้ หรือเป็นการขายหุ้น
หุ้นตัวแรก คือ บริษัท อัลไพน์ กอล์ฟ แอนด์ สปอร์ตคลับ 224.1 ล้านบาท โอนไปให้ คุณหญิงพจมาน ดามาพงศ์ ผู้เป็นแม่ เมื่อวันที่ 4 ก.ย. 2567 และหุ้นตัวที่สอง บริษัท ประไหมสุหรี พรอพเพอร์ตี้ จำกัด จำนวน 169.4 ล้านบาท โอนให้ น.ส.พินทองทา ชินวัตร คุณากรวงศ์ พี่สาว เมื่อวันที่ 5 ก.ย. 2567
ถ้าการโอนหุ้นของนายกรัฐมนตรีไปให้แม่และพี่สาว ก็ต้องมีภาระในการจ่ายภาษี กรณีของแม่ต้องเสียภาษีรับให้ 10.2 ล้านบาท ในขณะที่พี่สาว 8 ล้านบาท รวมแล้วรัฐต้องได้ 18.2 ล้านบาท ซึ่งนายกรัฐมนตรีทำนิติกรรมอำพรางในการหนีภาษีรับให้มาตั้งแต่ปี 2559 อ้างว่าให้โดยเสน่หา ภาษีสักสลึงก็ไม่ต้องเสีย
เมื่อไปดูบัญชีทรัพย์สิน พบว่านายกรัฐมนตรีมีหนี้ 9 รายการ เป็นเอกสาร 9 แผ่นกระดาษ วิธีการที่นายกรัฐมนตรีใช้ แวดวงธุรกิจเรียกกันว่า ตั๋ว PN ซึ่งเป็นหนี้สินเชื่อ โดยนายกรัฐมนตรีซื้อหุ้นกับพี่สาว พี่ชาย ลุง ป้าสะใภ้ และแม่ เป็นการซื้อเชื่อ แล้วออกตั๋ว PN เพียงเท่านั้น ไม่ได้ซื้อขายจริง
“ซื้อหุ้นกันภาษาอะไร ไม่มีกำหนดว่าจะจ่ายเงินค่าซื้อหุ้นกันเมื่อไหร่ ถ้าชาตินี้ไม่มีใครทวง แพทองธารก็ไม่ต้องจ่าย ลืมไปได้เลยว่าเคยเป็นหนี้ เพราะดอกเบี้ยก็ไม่มีใครคิด แพทองธารไม่ต้องกังวลเลยว่าจะต้องมีภาระในการจ่าย พี่ชาย พี่สาว ลุง ป้าสะใภ้ และแม่ เป็นเจ้าหนี้ที่แสนดี มีความกรุณามาก ๆ นอนกอดกระดาษ 9 ใบ โดยที่ไม่รู้ว่าเงิน 4,434.5 ล้านบาท จะได้เมื่อไหร่ โอ้โฮ ถ้าตั๋ว PN ทั้ง 9 ใบนี้ เป็นจริงตามที่ผมว่า ก็แสดงว่าการซื้อหุ้นของแพทองธาร ทำนิติกรรมบังหน้า เอาเปรียบประชาชน เป็นการบ่อนทำลายประเทศ”
“นายกรัฐมนตรีใช้ตั๋ว PN สร้างหนี้ปลอม หลีกเลี่ยงภาษีจำนวนสูงถึง 218.7 ล้าน หนีภาษีถึงเกือบ 15% ของภาษีมรดกที่จัดเก็บได้ในปี 2567 ซึ่งถ้าพิจารณาถึงกระบวนท่ากันจริง ๆ ถือเป็นกระบวนท่าที่ใช้ภายในจักรวาลชินวัตร ถ้าติดตามนวนิยายจีน จะทราบดีว่าเป็นเทคนิคการเคลื่อนย้ายจักรวาลที่เคยสั่นสะเทือนมาแล้วเมื่อปี 2544 หรือเมื่อ 20 ปีก่อน
ตอนนั้นเจ้าสำนักไม่ใช่ใครยักย้ายถ่ายเท หรือซุกหุ้นกันในเฉพาะเครือญาติ แต่ถึงกับเอาไปซุกไว้กับคนรับใช้ เอาไปให้คนขับรถ ล้ำลึกมาก ๆ ตนจะนำประเด็นที่อภิปรายในวันนี้ไปยื่นให้อธิบดีกรมสรรพากร เพื่อตรวจสอบต่อ”
ไม่หนีภาษี-เคลียร์หนี้ปี’69
ด้าน น.ส.แพทองธารชี้แจงเรื่องนี้ว่า เรื่องธุรกรรมก่อนการดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรี ในส่วนของหนี้สินและทรัพย์สินกิจการของตนและครอบครัว ถูกตรวจสอบอย่างเข้มข้นมาตั้งแต่รัฐประหาร 19 กันยายน 2549 ไม่เคยมีตอนไหนไม่เข้มข้น เพราะทุกบัญชี ทุกธุรกรรม อยู่ในสายตาที่เปิดเผยและโปร่งใสมานานมากแล้ว รวมถึงที่ดินทุกแปลงและทุกตารางวาออกโฉนดจากรัฐ
ซึ่งการซื้อขายแบบนี้บางรายการไม่มีการเสียภาษี เพราะยังไม่มีการชำระเงิน จึงยังไม่ทราบจำนวน และยังเสียภาษีไม่ได้ จึงเป็นภาระหนี้สินระหว่างดิฉันในฐานะผู้ซื้อและครอบครัวในฐานะผู้ขาย ชัดเจนอยู่แล้ว ไม่มีพฤติกรรมอำพรางใด ๆ เพราะถ้ามีการซื้อขาย ยอดหนี้ที่เห็นก็ยังต้องแสดงชัดเจน ได้ยื่น ป.ป.ช.ไปแล้ว ตรวจสอบได้อีกเช่นกัน
“การเลือกใช้วิธีออกตั๋วสัญญาใช้เงินแทนการรับให้ เป็นการทำธุรกิจแบบเปิดเผย ไม่สามารถแอบทำได้ และผู้มีส่วนเกี่ยวข้องล้วนแต่บรรลุนิติภาวะแล้ว แล้วการปรับโครงสร้างหุ้น จำเป็นต้องมีการซื้อขาย แต่ ณ เวลานั้นไม่มีความพร้อมในการชำระค่าหุ้นเป็นเงินสด จึงออกตั๋วสัญญาใช้หนี้แทน ได้แสดงบัญชีทรัพย์สินต่อ ป.ป.ช.เรียบร้อยแล้ว และมีการพูดคุยกันในครอบครัวว่ามีแผนที่จะชำระ โดยรอบแรกจะเกิดขึ้นภายในปีหน้า 2569 เป็นสิ่งที่ดิฉันและครอบครัวตกลงกัน และเมื่อมีการซื้อขายเกิดขึ้น ทั้งหมดจะปรากฏในบัญชีทรัพย์สินของตนอย่างแน่นอน”
“และพอมีการซื้อขาย มีการต้องจ่ายภาษีเกิดขึ้น ยังไงเราก็หลบการจ่ายภาษีไม่ได้อยู่แล้วนะคะ” น.ส.แพทองธารกล่าว
แย้งปมเอื้อนายทุน
ขณะที่ประเด็น ข้อกล่าวหาเอื้อนายทุน ฝ่ายค้านพยายามโยงถึงการดีลผลประโยชน์ระหว่างรัฐบาลกับเอกชน อาทิ
กรณี “ปลาหมอคางดำ” นายณัฐชา บุญไชยอินสวัสดิ์ สส.กรุงเทพฯ พรรคประชาชน กล่าวอภิปรายตอนหนึ่งว่า มีรายงานของกรรมาธิการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม (อว.) ที่นำเสนอในสภานี้ ผ่านเสียงของสมาชิกทั้งฝ่ายค้านและฝ่ายรัฐบาลแล้ว ทั้งนี้ ฝ่ายนิติบัญญัติส่งรายงานไป นายกฯที่ชื่อ น.ส.แพทองธาร ไม่ได้นำไปบรรจุในการพิจารณาของคณะรัฐมนตรี (ครม.)
เพราะรายงานฉบับนี้เขียนไว้หมดว่า มีการพบหลักฐานชิ้นสำคัญในการขออนุญาตนำเข้าปลาหมอคางดำในราชอาณาจักรไทย มีบริษัทเอกชนเพียงรายเดียว โดยมีหน่วยงานภาครัฐเป็นผู้อนุญาต สุดท้ายรายงานฉบับนี้เงียบหายเข้ากลีบเมฆ
ด้าน น.ส.แพทองธารชี้แจงว่า การดำเนินการแก้ปัญหาปลาหมอคางดำต่อเนื่องจากรัฐบาลเศรษฐา ทวีสิน มีการอนุมัติงบฯกลางปี 2567 ดำเนิน 7 มาตรการเพื่อควบคุมและกำจัดปลาหมอคางดำ ปีนี้ในที่ประชุมคณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบอนุมัติงบฯกลาง 98 ล้านบาท เพื่อดำเนินการต่อ
ขณะที่ นายสุรเชษฐ์ ประวีณวงศ์วุฒิ สส.บัญชีรายชื่อ พรรคประชาชน อภิปราย การทุจริตเชิงนโยบาย 2 เรื่องจากยุคอำนาจเก่า แต่มาเอื้อประโยชน์โดยรัฐบาลแพทองธาร คือการแก้สัญญาโครงการรถไฟความเร็วสูงเชื่อม 3 สนามบิน และการขยายสัมปทานทางด่วน และพยายามจะทำทางด่วนซ้อนทางด่วน Double Deck
ซึ่ง น.ส.แพทองธารชี้แจงว่า “ส่วนสัญญาโครงการรถไฟความเร็วสูงเชื่อมสามสนามบิน และ Double Deck อยู่ในขั้นตอนของฝ่ายปฏิบัติ ยังไม่ได้อยู่ในระดับนโยบายเลย ท่านก็ไม่ไว้วางใจดิฉันแล้ว อยากจะเรียนไว้ว่า เราตั้งใจทำงานเพื่อพี่น้องประชาชนจริง ๆ ติชมได้เสมอ เป็นเรื่องที่เราน้อมรับอยู่แล้ว ความคิดเห็นของพี่น้องประชาชนสำคัญกับรัฐบาลของเราอย่างมาก เราจะทำหน้าที่ดีที่สุด”
เช่นเดียวกับประเด็นที่ฝ่ายค้านกล่าวหาว่า รีบลงนามสัญญาซื้อขายไฟฟ้ากับกลุ่มทุนพลังงานที่ใกล้ชิดกับครอบครัวนายกฯนั้น น.ส.แพทองธารชี้แจงว่า รัฐบาลชุดนี้ยังไม่เคยอนุมัติซื้อไฟฟ้าเพิ่มกับบริษัทใด ๆ เลย แม้แต่การซื้อขายไฟฟ้าจากเพื่อนบ้านที่สมาชิกระบุว่าเอื้อกลุ่มทุนนั้น ดิฉันมีข้อมูลว่าสัญญาซื้อขายไฟฟ้าทำกันมานานหลายปีแล้ว ก่อนที่ดิฉันจะดำรงตำแหน่งนายกฯ ดิฉันคิดว่าเป็นข้อมูลที่คลาดเคลื่อนและไม่ถูกต้อง ตรงนี้เป็นการอภิปรายผลงานของรัฐบาลชุดอื่น
แก้ฝุ่น PM 2.5 มาถูกทาง
ประเด็นการแก้ปัญหา ฝุ่น PM 2.5 ถูกอภิปรายโดย นายภัทรพงษ์ ลีลาภัทร์ สส.เชียงใหม่ พรรคประชาชน (ปชน.) ว่า 2 ปีแล้วที่รัฐบาลจัดการ PM 2.5 แบบไม่ได้เรื่อง ตั้งแต่แถลงนโยบายที่บอกว่าจะแก้ต้นตอ ลดการเผาไหม้ แต่ความจริงกลับเพิ่มขึ้นจากปี 2566 จาก 4 ล้านไร่ เป็น 8 ล้านไร่ แต่กลับแถลงผลงาน 90 วันว่าลดพื้นที่การเผาได้ 50 เปอร์เซ็นต์
เป็นการเคลมผลงานด้วยการโกหกประชาชน ขนาดมีฟ้าฝนมาช่วยแล้วก็ยังแย่ลง นายกฯเคลมว่า ค่าฝุ่นลดทั่วประเทศ 6 เปอร์เซ็นต์ แต่หากอ้างอิงตัวเลขจากกรมควบคุมมลพิษ ในปี 2568 ค่าฝุ่น PM 2.5 เพิ่มขึ้นทั่วประเทศ 6 เปอร์เซ็นต์ ส่วนกรุงเทพฯและปริมณฑลเพิ่มขึ้น 20 เปอร์เซ็นต์ ไม่แน่ใจว่านายกฯ อยู่โลกเดียวกับเราหรือไม่
ด้าน น.ส.แพทองธารอภิปรายชี้แจงว่า ที่มีการอภิปรายว่าไม่ได้ทำให้เป็นเรื่องจริงจัง แต่เป็นวาระแห่งชาติอยู่แล้ว ที่ผ่านมาฝุ่นลดลงอย่างมากด้วยมาตรการต่าง ๆ เป็นเพราะเกิดการบูรณาการจากทุกฝ่ายร่วมกัน
อย่างแรก กระทรวงมหาดไทย ได้สั่งการ 76 จังหวัดยกระดับปฏิบัติการและบังคับใช้ข้อกฎหมายอย่างเด็ดขาด มีการประกาศห้ามเผาและขอความร่วมมือจากพี่น้องประชาชน ส่งผลให้การเผาในพื้นที่เกษตรลดลง และมีการดำเนินคดีกับผู้ที่จงใจที่จะฝ่าฝืนภายใน 3 เดือน เกิดขึ้นถึง 133 คดี
กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม ตนได้อนุมัติงบฯกลางเพื่อเฝ้าระวังไฟป่า สามารถทำให้มีคนเฝ้าระวังจุดต่าง ๆ ถึง 3,895 จุด ซึ่งการเฝ้าระวังแต่ละจุดมีจำนวนมากกว่าปี 2567 ถึง 50% กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ มีมาตรการเพื่อป้องกันการเผาในพื้นที่เกษตรด้วย
นอกจากนี้ ครม.อนุมัติงบฯ 200 ล้านบาท ให้กรมฝนหลวงฯ เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพในการป้องกันการแก้ปัญหาเรื่องน้ำแล้งด้วย กระทรวงอุตสาหกรรม มีนโยบายงดรับซื้ออ้อยจากการเผา
กระทรวงสาธารณสุข มีการแจ้งเตือนในพื้นที่ที่ฝุ่นจะมาก มีการให้ความรู้ว่าจะป้องกันอย่างไร ปฏิบัติตัวอย่างไร มีการจัดชุดดูแลสุขภาพประชาชนในพื้นที่ มีการจัดทำห้องปลอดฝุ่นกว่า 17,000 ห้อง รองรับประชาชนได้กว่า 2 ล้านคน
กระทรวงคมนาคม เข้มงวดกับการจับรถควันดำทั่วประเทศที่มากขึ้น ในปีที่ผ่านมาตรวจจับได้กว่า 1.5 แสนคัน ซึ่งมากกว่าปี 2567 ถึง 7 เท่า “เราคงไม่สามารถที่จะทำให้ฝุ่นหายไปได้ในพริบตา แต่เราเห็นแล้วว่าจุดความร้อนที่ลดลง “อย่างน้อย ๆ รัฐบาลมาถูกทางแล้ว และจะดำเนินการแบบนี้ต่อไป”