
นายกฯ รับ ‘พ่อ’ ครอบงำจริง ย้อนแรง ‘ฝ่ายค้าน’ ถูกครอบงำโดยคนที่ไม่ใช่พ่อ – ‘อิ๊งค์’ ย้อนความจำพรรคส้ม ไม่เคยยกมือโหวตแคนดิเดตเพื่อไทย ทั้งที่ พท.ยกตลอดก่อนดีลล้ม – สอนมวย ปชน.เอาให้ชัดเลือกตั้งรอบหน้าจะไม่ร่วมรัฐบาลกับใคร
น.ส.แพทองธาร ชินวัตร นายกรัฐมนตรี ขึ้นชี้แจงครั้งที่สอง ในการอภิปรายไม่ไว้วางใจ วันที่ 2 ว่า เป็นสองวันที่ตนได้ยินชื่อตัวเองมากที่สุดในชีวิต และคิดว่าทุกคนได้ทำหน้าที่ของตัวเองอย่างเต็มที่ อะไรที่เป็นเนื้อหาสาระที่เป็นประโยชน์ ก็จะมีประโยชน์กับประชาชน อะไรที่กระทบกระทั่งก็ถือว่าเป็นเรื่องปกติแต่เชื่อว่าเราจะสามารถทำงานร่วมกันต่อไปได้
ซึ่งผู้นำฝ่ายค้าน ได้เน้นย้ำในเรื่องของภาวะผู้นำและการครอบงำ ถือเป็นการย้ำเรื่องเดิม ๆ ไม่แน่ใจว่าเป็นสิ่งที่ตัวเองขาดอยู่หรือไม่ ไม่ใช่แค่ตนเองที่ถูกกล่าวหาว่าครอบงำโดยคุณพ่อ (นายทักษิณ ชินวัตร) แต่ท่านก็ถูกกล่าวหาว่าครอบงำโดยคนที่ไม่ใช่พ่อ
ส่วนตัวคิดว่าไม่อยากให้ใครพูดแบบนี้ พร้อมยืนยันว่าตนเคารพและให้เกียรติผู้นำฝ่ายค้าน รวมถึงไม่เคยสงสัยในภาวะผู้นำของท่าน ซึ่งเราอายุใกล้เคียงกันและเส้นทางทางการเมืองมีความคล้ายกันกว่าจะมาถึงตรงนี้ได้ก็เจอชะตากรรม และถูกกระทำจากพรรคการเมืองมาจนถึงวันนี้
ซึ่งหากตนไม่ถูกกระทำในวันนี้ อาจมีนายกฯ ชื่อทักษิณก็เป็นได้ และพรรคของท่านอาจมีหัวหน้าพรรคที่ชื่อธนาธร ดังนั้นขอให้ท่านทำหน้าที่ของตัวเองให้ดีที่สุด และขออย่าด้อยค่าคนอื่น
นายกฯ กล่าวอีกว่า การที่ตนเป็นลูกของนายทักษิณ ถูกปรามาสตั้งแต่เป็นนิสิตนักศึกษา จนถึงวันนี้ที่เป็นนายกรัฐมนตรี ก็ถูกกล่าวหาจึงไม่ใช่เรื่องแปลกอะไร และไม่ใช่เรื่องเสียหายที่ตนจะนำคำแนะนำของนายทักษิณ มาพิจารณาและปรับใช้ เพราะท่านมีความรู้ความสามารถและเป็นที่ยอมรับทั้งในและต่างประเทศ หากความคิดของท่านจะเป็นประโยชน์ต่อประเทศชาติและประชาชนก็ถือเป็นสิ่งที่ดี
ทั้งนี้ มีหลายท่านที่ถูกตัดสิทธิทางการเมืองและถูกยุบพรรค ก็ยังเห็นว่าเดินหน้าทำงานด้านการเมือง ทางด้านนโยบายและการลงพื้นที่หาเสียงก็ยังสามารถทำได้ ทำไมถึงเป็นเรื่องของนายทักษิณคนเดียวที่เป็นประเด็น หรือได้ทักษิณ โดนตัดสิทธิยกกำลังสอง
ส่วนประเด็นอุยกูร์ นายกรัฐมนตรี ระบุว่า ขณะนี้ยังไม่มีกฎหมายของผู้หนีภัย และเมื่อมีการลักลอบเข้าเมือง ก็จะยึดหลักมนุษยธรรมและสิทธิมนุษยชน การขังชาวอุยกูร์ไว้ 10 ปี และมีประเทศจีนซึ่งเป็นต้นทางมาขอรับตัว และมาประสานโดยที่ไม่มีประเทศอื่นหรือประเทศที่สาม มาขออย่างเป็นทางการ
ซึ่งเราได้ขอให้ประเทศจีนแสดงความจริงใจโดยทำหนังสือออกมา จึงถือเป็นพันธะสัญญาต่อประชาคมโลก จึงต้องรีบส่งชาวอุยกูร์กลับไป และเมื่อ 5 วันที่แล้ว นายภูมิธรรม เวชยชัย รองนายกฯรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหมืก็ได้เดินทางไปดู จึงเชื่อว่าวิธีนี้เป็นวิธีที่ดีที่สุดสำหรับประเทศไทย
ส่วนที่พรรคฝ่ายค้านสอบถามว่าชาวอุยกูร์สมัครใจหรือไม่ และรัฐบาลไม่ทำตามใจชาวกุยกูร์ นายกฯ กล่าวว่า สิ่งแรกที่ตนคิด คือคนไทยต้องการอะไร และอะไรดีที่สุดสำหรับประเทศไทย ซึ่งคณะรัฐมนตรีทั้งหมดต้องปรึกษากันว่าอะไรคือประโยชน์สูงสุดของประเทศไทย เมื่อส่งชาวอุยกูร์กลับไป ฉะนั้นเมื่อกลับไปและปลอดภัยก็เป็นสิ่งที่ดีกว่าการถูกกักในที่คุมขังนับ 10 ปี
ส่วนที่บางประเทศออกมาประณามไม่ยอมรับ ยืนยันว่าเราเคารพทุกความคิดเห็น ซึ่งต้องใช้เวลาในการอธิบาย แต่เชื่อว่าทุกประเทศจะเข้าใจ และไม่แปลกที่ประเทศต่างๆจะคิดไปต่างๆนานาซึ่งไม่ผิด เพราะไม่มีใครทราบว่าไทยกับจีนหารืออะไรกันและมีหนังสือรับรอง ซึ่งทำให้จีนถูกมองไม่ดีในสายตาคนอื่น
ส่วนกรณีที่มีการกล่าวหารัฐบาลในเรื่องนี้ อยากถามว่าได้เปิดตามองในทุกมิติของโลกแล้วหรือยัง สำหรับนักสิทธิมนุษยชน หรือมีสองมาตรฐานสำหรับรัฐบาลนี้โดยเฉพาะ พอเท่าที่จำได้ไม่มีนโยบายของพรรคการเมืองไหนเกี่ยวกับผู้ลี้ภัย จึงขอท่านใช้โอกาสในเวทีนี้ประกาศเลยว่า ออกนโยบายประกาศว่าจะทำตามที่ผู้ลี้ภัยต้องการในทุกกรณีเพื่อให้ประชาชนรับฟัง
นายกฯ ยังกล่าวถึงการแก้ไขรัฐธรรมนูญ ว่าเป็นนโยบายของพรรคเพื่อไทย ซึ่งตอนนั้นเราเป็นฝ่ายค้านร่วมด้วยกัน และลงสัตยาบันร่วมกันในการแก้ไขรัฐธรรมนูญ หลายหนแต่ไม่สำเร็จ และเมื่อเรามาเป็นรัฐบาลจึงได้แถลงนโยบายนี้ต่อรัฐสภาโดยไม่แตะหมวด 1 หมวด 2 แต่มีความซับซ้อนและทำให้การแก้ไขเป็นไปได้ยากจากพรรคร่วมรัฐบาลและสมาชิกวุฒิสภา รวมถึงการทำประชามติและจำนวนครั้งในการดำเนินการ
ซึ่งเราพยามเดินไปข้างหน้าและท่านเรียกร้องให้ตนมีภาวะผู้นำ ก็พยามทำตลอดเวลา และหารือกับพรรคร่วมรัฐบาลในทุกนโยบาย เพื่อแสวงหาจุดร่วมและสงวนจุดต่างให้ชัดเจน จนมีมติเห็นชอบร่วมกันในการยื่นศาลรัฐธรรมนูญ แม้จะช้าและไม่ทันใจแต่เธอก็เป็นโอกาสของความสำเร็จ ที่ตนคิดว่าส่วนตัวมีความอดทนเพราะมีพรรคร่วมหลายพรรค และต้องมีเหตุผล ความจริงใจ ซึ่งเป็นสิ่งที่ตนยึดถือ
เพราะหากจะไม่ให้ตนเป็นผู้นำในลักษณะนี้ ต้องดันทุดังและพังทุกรอบ ก็จะไม่เป็นผลสำเร็จและไม่เกิดผลดีต่อรัฐบาลของตน
นายกรัฐมนตรี ยังกล่าวได้ว่า รัฐบาลนี้ เคารพในสิทธิเสรีภาพและการแสดงออกของทุกฝ่ายฝ่าย ไม่เคยลืมว่าครั้งหนึ่งเราเคยบอบช้ำและเจ็บปวด ครั้งหนึ่งเคยต่อสู้ร่วมกับประชาชนอย่างเปิดเผย และพรรคของเราเคยมีคนที่เคยต่อสู้ร่วมกับประชาชนมา เราเห็นประโยชน์ของพี่น้องประชาชนเป็นสิ่งสำคัญซึ่งในพรรคมีคนเสื้อแดงและลูกหลานของคนเสื้อแดง จึงยืนยันว่าแสดงเรื่องนี้อย่างจริงจังและอยู่ในใจมาเสมอเพราะนี่เป็นสิ่งที่เราเป็น
“ถ้าคำว่าดีล หมายถึงการเจรจาหาข้อสรุปร่วมกัน การเมืองทุกที่ในโลกนี้ก็ต้องมีการดีลทั้งนั้น รัฐบาลของเราตั้งมาก่อนหน้านี้ พรรคของเราก็ดีลกับพรรคของท่าน พรรคของท่านก็มาดีลกับพรรคของเรา เรายกมือโหวตให้กับแคนดิเดตพรรคของท่าน ด้วยความที่เราก็เชื่อว่า ท่านรวมเสียง สว.สำเร็จแล้ว
เราก็ดีลแบบนั้นในระดับสองคน และระดับทุกคนในพรรค ท่านยืนยันดีลกับเราแบบนั้นเราก็ดีลด้วย แต่ที่ผ่านมา เรารักษาคำพูดของเราเสมอ เรายกมือให้แคนดิเดตพรรคท่านมาตลอด แต่เท่าที่จำได้ ท่านยังไม่เคยยกมือให้แคนดิเดตพรรคเราเลย”
นายกฯ กล่าวอีกว่า เมื่อท่านตั้งรัฐบาลไม่สำเร็จ เราก็เดินหน้าตั้งรัฐบาล ซึ่งถือเป็นเรื่องปกติตามรัฐสภา ซึ่งเคยเกิดขึ้นกับพรรคเราและมาเกิดขึ้นกับพรรคท่าน และรู้ดีว่าการตั้งรัฐบาลในครั้งนี้ต้องพบกับความยากลำบาก และต้องอธิบายให้ประชาชนฟัง แต่ถ้าเราต้องการผลักดันนโยบายให้ประชาชนจริงๆ ถ้าเราไม่เริ่มตั้งแต่วันนั้น จะมีนโยบายออกไปถึงมือประชาชนในวันนี้หรือไม่
และการที่ท่านพูดว่านโยบายไม่ตรงปก แต่ชาวบ้านได้รับเงิน 10,000 บาท เคยถามประชาชนว่ามีความสุขหรือไม่ การกระตุ้นเศรษฐกิจถ้ายังไม่มีการกระตุ้น จะกระเตื้องอย่างวันนี้หรือไม่ หากไม่เริ่มนับหนึ่งวันนี้ก็ยังติดลบแล้วเริ่มไปเป็นบวกเมื่อไหร่ประเทศไทยจะเดินหน้า
นายกฯ ย้ำอีกว่า รัฐบาลเพื่อไทย หรือรัฐบาลนี้จึงแบกการอธิบายให้กับพี่น้องประชาชน และภูมิใจว่าได้ทำนโยบายต่างๆ เดินสายไปต่างประเทศทำให้การลงทุนในประเทศไทย สูงสุดในรอบ 10 ปี ทั้งที่เราเป็นรัฐบาลแค่ 6 เดือนเท่านั้น เพราะไม่มีใครอยากเป็นผู้ถูกกล่าวหา ในเมื่อการเมืองแบบใหม่ ท่านควรประกาศให้ชัดไปเลยว่าในสมัยหน้า จะร่วมหรือไม่ร่วมกับใครประชาชนจะได้เกิดความสบายใจ