
นายกฯ ถึง กทม. เรียกประชุมด่วนติดตามเหตุแผ่นดินไหว ’ภูมิธรรม‘ เผยเกิดขึ้นในรอบ 100 ปี ‘แพทองธาร‘ สั่งปิดโรงเรียนทั่วประเทศ ตรวจสอบอาคารร้าวทั้งหมด
เวลา 17.00 น. ทันทีที่ น.ส.แพทองธาร ชินวัตร นายกรัฐมนตรี เดินทางถึง บน.6 กรุงเทพมหานคร หลังลงพื้นที่จังหวัดภูเก็ต ได้ประชุมร่วมกับนายภูมิธรรม เวชยชัย รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม นายอนุทิน ชาญวีรกูล รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย น.ส.จิราพร สินธุไพร รัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี
นายสรวงศ์ เทียนทอง รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬา นายจุลพันธ์ อมรวิวัฒน์ รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงการคลัง พล.อ.อ.พันธ์ภักดี พัฒนกุล ผู้บัญชาการทหารอากาศ พล.อ.สนิธชนก สังขจันทร์ ปลัดกระทรวงกลาโหม นพ.พรหมินทร์ เลิศสุริย์เดช เลขาธิการนายกรัฐมนตรี นายภาสกร บุญญลักษม์ อธิบดีกรมป้องกันและบรรเทาสาธารณภัย นายนิรัตน์ พงษ์สิทธิถาวร ผู้ว่าราชการจังหวัดเชียงใหม่ รวมถึงหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเข้าร่วม
ขณะที่ก่อนการประชุม นายภูมิธรรมเปิดเผยสั้น ๆ ภายหลังลงพื้นที่ติดตามเหตุอาคารถล่มที่เขตจตุจักร กรุงเทพฯ ว่าได้รับรายงานว่ามีเหตุแผ่นดินไหวเกิดขึ้นที่ประเทศเมียนมา แรงสั่นสะเทือนส่งผลกระทบถึงประเทศไทย จึงถือเป็นเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นในรอบ 100 ปี และถือเป็นครั้งสำคัญที่เกิดเหตุขึ้น เนื่องจากมีผลกระทบรุนแรง
ทั้งนี้ ในการตรวจสอบเบื้องต้นพบว่าในพื้นที่กรุงเทพฯ มีพื้นที่อาคารสูงพังถล่มเพียง 1 จุด ที่สำนักงานตรวจเงินแผ่นดิน และอาคาร 3 ชั้นในเขตบางขุนเทียน ซึ่งเป็นอาคารพาณิชย์เก่า
โดยนายกรัฐมนตรีได้โทรศัพท์สั่งการมาจากจังหวัดภูเก็ต ให้ตนดำเนินการประสานงานสั่งการให้กระทรวงศึกษาธิการสั่งปิดโรงเรียนทั่วประเทศและดำเนินการด้วยความระมัดระวัง พร้อมกับสั่งการให้มีการตรวจสอบอาคารร้าวทั้งหมด และทางโรงพยาบาลได้มีการเตรียมความพร้อมนำคนไข้ออกจากอาคาร ส่วนในพื้นที่กรุงเทพมหานครมีผู้อำนวยการเขตเป็นผู้บัญชาการส่วนหน้า
ก่อนย้ำว่าได้สั่งการทุกอย่างเป็นที่เรียบร้อยแล้ว และเข้าไปดูในพื้นที่พบผู้เสียชีวิตจำนวน 3 ราย แต่สิ่งที่เป็นปัญหาคือมีผู้รับเหมารายย่อยจำนวนมากจึงต้องไปตรวจสอบชั้นต่าง ๆ ส่วนตัวเลขที่นิ่งแล้วคือจำนวนผู้สูญหาย 90 คน ช่วยออกมาได้ 1 คน
ซึ่งทั้งทหารและตำรวจ อาทิ หน่วยบัญชาการทหารพัฒนาและมณฑลทหารบกที่ 11 ได้มีการระดมเครื่องจักรจากทุกภาคส่วนลงไปในพื้นที่ และตั้งศูนย์อำนวยการส่วนหน้าไว้ในพื้นที่ โดยไม่อนุญาตให้ใครเข้าไปในพื้นที่เด็ดขาด แต่ขณะนี้ยังไม่สามารถใช้เครื่องมือขนาดใหญ่ได้ เนื่องจากต้องระมัดระวังผู้ที่ยังตกค้างอยู่ข้างใน