“ไทม์” ลงบทวิเคราะห์-สัมภาษณ์ “บิ๊กตู่” หัวข้อจี้จุด “สัญญาคืนปชต.แต่กระชับอำนาจ”

เมื่อวันที่ 21 มิถุนายนที่ผ่านมา เว็บไซต์นิตยสารไทม์เผยแพร่บทวิเคราะห์รวมไปถึงบทสัมภาษณ์ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี ที่เตรียมตีพิมพ์เผยแพร่ในนิตยสารไทม์ฉบับวันที่ 2 กรกฎาคม 2018 ในหัวข้อ “ผู้นำไทยสัญญาจะคืนประชาธิปไตย แต่กลับกระชับอำนาจ” พร้อมโปรยหัว ประยุทธ์ จันทร์โอชา ของไทยจะเลือกอะไร ประชาธิปไตย หรือเผด็จการ?

ไทม์เลือกภาพประกอบเป็นภาพ พล.อ.ประยุทธ์ในบรรยากาศที่มีแสงและเงาดูลึกลับถ่ายไว้ที่ทำเนียบรัฐบาลเมื่อวันที่ 1 มิถุนายนที่ผ่านมา พร้อมทั้งตั้งคำถามว่าประเทศไทยจะอยู่ในจุดนี้อีกนานเท่าไร เมื่อประเทศไทยอยู่ในจุดนี้มา 4 ปีแล้ว หลังจากการรัฐประหารที่นับเป็นครั้งที่ 12 นับตั้งแต่ประเทศไทยมีรัฐธรรมนูญเมื่อปี พ.ศ. 2475 ขณะที่ พล.อ.ประยุทธ์ สัญญาว่าจะคืนประชาธิปไตยโดยเร็ว

ไทม์ระบุถึงบทสัมภาษณ์ พล.อ.ประยุทธ์ที่ระบุว่า “ตอนผมยังเด็ก ความรักชาติคือการเป็นทหาร รบในแนวหน้าเพื่อประเทศชาติ” และว่า “ผมบอกตัวเองว่าผมต้องทุ่มเทชีวิตเพื่อชาติบ้านเมืองและสถาบันกษัตริย์”

พร้อมระบุถึงเหตุผลในการยึดอำนาจว่า “ผมไม่สามารถปล่อยให้เกิดความเสียหายกับประเทศชาติของผมได้” นายกรัฐมนตรีระบุ และว่า “ชาติกำลังเสี่ยงที่จะถูกทำลาย”

ไทม์ระบุว่า นับตั้งแต่ปี 2014 ประยุทธ์ นำประเทศไทยกลับสู่ความแข็งแกร่ง ภายใต้การปกครองของรัฐบาลทหาร จีดีพีของไทยเพิ่มขึ้น 4 เปอร์เซ็นต์ การส่งออกสูงสุดในรอบ 7 ปี ขณะที่จำนวนนักท่องเที่ยวมีมากถึง 35 ล้านคนในปี 2017 โครงการด้านพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานได้รับการไฟเขียว เช่น โครงการระเบียงเศรษฐกิจตะวันออก การก่อสร้างรถไฟ และโรงงานต่างๆ

“นี่ไม่ใช่ 4 ปีเพื่อสร้างอำนาจ แต่เป็นเวลาแก้ปัญหา ก้าวข้ามอุปสรรคและสร้างความมั่นคง ความปลอดภัยเพื่อก้าวไปสู่อนาคต” พล.อ.ประยุทธ์ระบุกับไทม์

อย่างไรก็ตาม ไทม์ชี้ว่าอนาคตยังคงมืดมัวเมื่อยังคงมีการละเมิดสิทธิมนุษยชนในไทยอย่างรุนแรงทั้งการจับกุมผู้ชุมนุม การตัดสินคดีในศาลทหาร การข่มขู่ผู้สื่อข่าว และยังระบุว่าพล.อ.ประยุทธไม่สนใจความต้องการของประชาชน ให้วิธีแก้ปัญหาผ่านรายงานในช่วงเย็นที่สร้างความงุนงง อย่างการแก้ปัญหาความยากจนด้วยการทำงานหนัก หรือเลี่ยงการเป็นหนี้ด้วยการหยุดช้อปปิ้ง รวมถึงกล่าวอ้างถึงการใช้ศาสตร์มืดจากฝ่ายตรงข้ามทางการเมือง แถมยังมีภาพนายกรัฐมนตรีพูดคุยกับกบ นอกจากนี้ยังแต่งเพลงที่ พล.อ.ประยุทธ์ระบุว่าใช้เป็นเครื่องมือสื่อสารถึงประชาชนด้วย

ไทม์ระบุว่า พล.อ.ประยุทธ์ พยายามที่จะสร้างระบบทางการเมืองใหม่เพื่อแสดงให้เห็นภายนอกว่าคืนประชาธิปไตยสู่ประเทศ ทว่านั่นก็ยังคงหมายถึงการยังคงไว้ซึ่งอำนาจของกองทัพ ด้านนักเคลื่อนไหวในไทยก็ยังรู้สึกห่างไกลจากการเลือกตั้งที่เป็นประชาธิปไตย โดยเฉพาะในเวลาที่นักเคลื่อนไหวถูกจับกุมและดำเนินคดีในข้อหารุนแรงอย่างต่อเนื่อง

บทวิเคราะห์ระบุว่าไทยเริ่มเปลี่ยนไปจากชาติประชาธิปไตยไปสู่เผด็จการ และหันหน้าจากการเป็นพันธมิตรสำคัญของสหรัฐ ไปสู่การสร้างสัมพันธ์กับจีนเช่นเดียวกับเพื่อนบ้านอย่างฟิลิปปินส์ พม่า รวมถึงกัมพูชา นับตั้งแต่การรัฐประหารของ พล.อ.ประยุทธ์ และนับตั้งแต่นั้นความร่วมมือด้านการทหารระหว่างไทยและจีนก็เพิ่มมากขึ้น มีโครงการสั่งซื้ออาวุธยุทธโธปกรณ์จากจีนจำนวนมหาศาล รวมไปถึงความร่วมมือและการริเริ่มความร่วมมือด้านเศรษฐกิจอีกหลายโครงการ

ไทม์ระบุว่าสังคมเริ่มแสดงออกถึงความไม่พอใจการอยู่ในอำนาจของรัฐบาลทหารมากขึ้นเรื่อยๆ ซึ่งอาจนำไปสู่จุดวิกฤตได้ในไม่ช้า เช่น ข้อกล่าวหาเกี่ยวกับการทุจริตของเจ้าหน้าที่ระดับสูง ปัญหาเศรษฐกิจ รวมถึงการจัดการกับกลุ่มผู้ประท้วงอย่างเด็ดขาด

ด้าน พล.อ.ประยุทธ์ ยังคงยืนยันกับไทม์ว่า ตนไม่ได้เต็มใจที่จะเข้ามาอยู่ในอำนาจ และว่าตนจะอยู่เพียงชั่วคราวเท่านั้น

“ผมไม่เคยคิดที่จะมาเป็นนายกรัฐมนตรีในแบบนี้เลย” พล.อ.ประยุทธ์ ระบุ และว่า “มันเป็นการตัดสินใจที่ยากที่สุดในชีวิตผม”

ส่วนคำถามของไทม์ที่ว่านั่นหมายความว่า พล.อ.ประยุทธ์จะปล่อยมือจากอำนาจหลังเดือนกุมภาพันธ์ 2019 ซึ่งเป็นกำหนดเลือกตั้งหรือไม่นั้น

“นั่นขึ้นอยู่กับสถานการณ์และประชาชน” พล.อ.ประยุทธ์ ระบุพร้อมยักไหล่ “ผมไม่สามารถควบคุมเรื่องนี้ได้”ก่อนที่ไทม์จะปิดท้ายว่า ชาวไทยนับล้านคนก็รู้สึกในแบบเดียวกัน

 

ที่มา : มติชนออนไลน์