
ปีนี้ 2568 ประเทศไทยเผชิญศึกหนัก คู่ชกตัวใหญ่มาก ๆ
ภายในประเทศ เหตุการณ์แผ่นดินไหวระดับ 8.2 ริกเตอร์ เมื่อวันศุกร์ 28 มี.ค.ที่ผ่านมา อาคาร 33 ชั้นของ สตง.กำลังก่อสร้าง ทรุดลงมากองอยู่กับพื้น
ทั้งตาย เจ็บ และติดอยู่ในซากตึกอีกจำนวนมาก
ศูนย์กลางอยู่มัณฑะเลย์ เมียนมา พังยับเยิน แต่ที่บ้านเราก็ถือว่าหนักอย่างไม่เคยพบเห็นมาก่อน
ในยุคที่ทุกคนเข้าถึงระบบไอที ภาพนาทีตึกถล่ม ผู้คนหนีตาย แพร่กระจายไปอย่างรวดเร็วในระบบออนไลน์ แพลตฟอร์มต่าง ๆ
เป็นโจทย์ให้ผู้รับผิดชอบต้องรีบรับไปแก้ไข แบบเถียงไม่ได้
กรณีของตึก สตง. ผลงานกิจการร่วมค้า อิตาเลียนไทยกับไชน่า เรลเวย์ ทางดีเอสไอรับเป็นคดีพิเศษแล้ว
งานนี้ “เอกนัฏ พร้อมพันธุ์” รมว.อุตสาหกรรม รุดตรวจถึงไซต์ก่อสร้าง-เก็บตัวอย่างเหล็กไปเข้าห้องแล็บ
พร้อมกับบอกว่า “ผมเห็นแล้วยังอึ้งเลย”
ปัญหามาตรฐานการก่อสร้างต้องเอาจริงเอาจัง จะเอาชื่อของประเทศไปเสื่อมเสียแบบนี้ไม่ได้อีก
ระบบเตือนภัย เป็นอีกโจทย์สำคัญ
งานนี้ “นายกฯอิ๊งค์” ไล่เบี้ยถามเสียงเข้ม เพราะเอสเอ็มเอสแนะนำแนวปฏิบัติไม่ถึงประชาชน ส่วนระบบ Cell Broadcast ที่เตือนได้แบบไม่มีข้อจำกัด คิดกันว่าตั้งแต่สึนามิ 2548
เพิ่งได้งบฯจัดทำ อยู่ในขั้นตอน “เกือบเสร็จ”
คาดว่าเดือน พ.ค.นี้จะเริ่มใช้ได้
ประเทศไทยถือเป็นประเทศชั้นนำในอาเซียน โดยเฉพาะอินฟราสตรักเจอร์ทางด้านไอที
เรามี 5G มาตั้งแต่ก่อนโควิดระบาด เป็นระบบที่มีบทบาทช่วยเหลืออย่างมาก
คนไทย 96% เข้าถึงอินเทอร์เน็ต ปีนี้ 2568 จะเปิดให้บริการดาวเทียมวงโคจรต่ำ (LEO) ทำให้มีทางเลือกมากขึ้นอีก
ระบบสื่อสารของเราดี จนแก๊งสแกมเมอร์ แห่เข้ามาใช้งานเพื่อต้มตุ๋นประชาชนคนไทย
การรับมือหลังเกิดเหตุทำได้ดี ทั้งการกู้ภัยของเอกชนและภาครัฐ การเข้าตรวจอาคารสูงของ กทม. การสั่งเปิดสวนสาธารณะรองรับประชาชนที่ไม่กล้าเข้าบ้าน เป็นไปอย่างรวดเร็ว
จุดอ่อนยังอยู่ที่การรับมือในห้วงเกิดเหตุ ต้องมีการสื่อสารจากภาครัฐ ถ้ารถไฟฟ้าหยุด ทางด่วนปิด ก็ต้องมีระบบมาช่วยเหลือประชาชน ไม่ปล่อยให้เคว้งคว้าง
เป็นการบ้านที่ต้องคิดร่วมกัน ผลักดันร่วมกันระหว่างหน่วยงานต่าง ๆ
โดยต้องคำนึงถึงทุกข์สุขของประชาชนให้มาก
เหตุการณ์แผ่นดินไหวเกิดขึ้นปลายเดือน มี.ค.
อีกไม่กี่วันจะถึงวันสงกรานต์ ที่คนจะต้องกลับไปเยี่ยมบ้าน เร่งรีบทำงาน เพื่อรวบรวมค่าแรงกลับไปฉลองกับพ่อแม่พี่น้อง
หลายครอบครัวจะต้องผ่านเทศกาลนี้ไปอย่างโศกเศร้า เพราะสมาชิกกลับมาไม่ครบ
ส่วนศึกนอก ประธานาธิบดีทรัมป์ ยืนตระหง่าน เซ็นคำสั่งขึ้นภาษีแบบรัว ๆ
ทุกประเทศโดนหมด 10% แล้วเพิ่มเติมสำหรับ ประเทศที่อยู่ในลิสต์ได้เปรียบดุลการค้า โดยเฉพาะในอาเซียน วิ่งแก้เกมกันขาขวิด
อย่างเวียดนาม ที่เป็นคู่ค้าอันดับต้น ๆ เป็นเสือปืนไว ลดภาษีหลายรายการ เพื่อเอาใจสหรัฐ
ประธานาธิบดีทรัมป์เซ็นคำสั่งเมื่อ 2 เม.ย. สินค้าไทยโดนภาษี 36% หนักที่สุดเป็นอันดับ 14 จากมาตรการภาษีรอบนี้
“ประเทศที่ทำผิดร้ายแรงที่สุด” 60 ประเทศ โดนเรียกเก็บตามสูตรที่คำนวณไว้ มีผล 9 เม.ย.นี้
สหภาพยุโรป 20%, จีน 34%, ญี่ปุ่น 24%, ไต้หวัน 32%, อินเดีย 26% หรือเวียดนาม ที่พยายามวิ่งแก้ปัญหา โดนไป 46%
ที่แน่ ๆ ข้าวหอมมะลิไทย ที่มีสัดส่วนในตลาดสหรัฐปี’67 สูงกว่า 850,000 ตัน ปกติเฉลี่ยตันละ 900-1,000 เหรียญ เจอภาษี 36% จะพุ่งเป็น 1,400 เหรียญทันที
อาจจะเป็นโอกาสของข้าวเวียดนามที่แม้จะโดนภาษีหนัก แต่ราคาถูกกว่า เพียงตันละ 600-700 เหรียญเท่านั้น
ภาคธุรกิจประเมินออกมาแล้วว่า ผลจากมาตรการภาษีของสหรัฐ จะทำให้ GDP ของไทยในปี 2568 ต่ำกว่าที่เคยคาดไว้ 2.4-2.9%
ขณะที่รัฐบาลประกาศเป้าหมายไว้ที่ 3%
ข้อเสนอจากภาคธุรกิจ คือ ประเทศไทยต้องเร่งสร้างความเข้มแข็งจากภายใน
ที่พูดถึงกันมานานแล้ว คือ การปรับในระดับ “โครงสร้าง”
คือ การยกเครื่องระเบียบ กฎหมายต่าง ๆ ให้ทันสมัย และยืดหยุ่น สอดคล้องกับยุคสมัยที่เปลี่ยนไป ทิ้งความ “ตายตัว” ให้ได้
ให้เกิดความคล่องตัวมากขึ้น ในการเปลี่ยนนโยบาย หรือดำเนินนโยบายใหม่ ๆ ที่มีผลทางเศรษฐกิจ
ซึ่งแน่นอน จะโยงไปถึงเรื่อง “การเมือง” ด้วย
การเมืองไทยถึงเวลาต้องเป็นไปตามระบบสากล ให้รัฐบาลเป็น “ผู้นำ” ในการแก้ปัญหา ดำเนินนโยบายต่าง ๆ
และเป็นผู้นำในการปรับโครงสร้างการเมือง แก้ไขหรือยกร่างรัฐธรรมนูญใหม่
รัฐสภาต้องมาจากการเลือกตั้งของประชาชน ทั้ง สส. และ สว. ไม่ใช่มาจากไหนก็ไม่รู้
ยิ่งสถานการณ์ดูวิกฤต และเหมือนกับเผชิญทางตัน
มีแต่จะต้องแก้ปัญหาในระดับ “โครงสร้าง” เท่านั้น