ศุภวุฒิเผย ไทยรอจังหวะเจรจาทรัมป์ หาทางตั้งรับ-มาตรการช่วยผู้ประกอบการ

ศุภวุฒิ สายเชื้อ
ศุภวุฒิ สายเชื้อ

ที่ปรึกษานโยบายของนายกรัฐมนตรีเผย ทำไมไทยยังไม่ไปเจรจาเรื่องภาษีกับสหรัฐ จ่อนำเข้าสินค้าเกษตรลดขาดดุล พาดบันไดรอโอกาสทรัมป์ถอย ยันมีเงินกองทุน 3 พันล้านบาทดูแลผู้ส่งออก

นายศุภวุฒิ สายเชื้อ ที่ปรึกษานโยบายของนายกรัฐมนตรี เปิดเผยผ่านรายการ “เจาะลึกทั่วไทย” ว่า จากรายงานข่าวของไฟแนนเชียล ไทมส์ (Financial Times) ระบุว่า ขณะนี้ไม่มีประเทศใดที่เจรจากับสหรัฐอเมริกา หลังประกาศขึ้นภาษีสำเร็จสักประเทศ ไม่ว่าอินเดีย ญี่ปุ่น เป็นต้น ในส่วนของประเทศไทยก็คิดว่าการเจรจาก่อนจะเป็นทางที่ดีเช่นกัน

ดังนั้น น.ส.แพทองธาร ชินวัตร นายกรัฐมนตรี ได้ตั้งคณะทำงานขึ้นมาเพื่อปกป้องผลประโยชน์ของไทยให้เหมือนก่อนที่นายโดนัลด์ ทรัมป์ จะขึ้นมาเป็นประธานาธิบดี

ทั้งนี้ ทิศทางนโยบายการขึ้นภาษีของสหรัฐ นายพันศักดิ์ วิญญรัตน์ ประธานคณะที่ปรึกษานโยบายนายกรัฐมนตรี ประเมินว่า นายโดนัลด์ ทรัมป์ ประธานาธิบดีสหรัฐ มีความตั้งใจจะเปลี่ยนโลก เปลี่ยนสถานะของอเมริกาให้ไม่เหมือนเดิม สะท้อนจากการประกาศนโยบายภาษีศุลกากร เมื่อวันที่ 2 เมษายน 2568 ที่ผ่านมา ที่จะเก็บภาษีศุลกากรจากทุกประเทศในโลกทั้ง 180 ประเทศ

“เวลาเราจะสู้ศึก ต้องรู้เขา รู้เรา ดังนั้น เขา คือ สหรัฐที่ตั้งใจจะเปลี่ยนโลกเปลี่ยนประเทศ เปลี่ยนอเมริกา อย่างประเทศอังกฤษเป็นพันธมิตรมายาวนาน นายทรัมป์ก็ได้เข้าเฝ้าสมเด็จพระเจ้าชาร์ลส์ที่ 3 ระหว่างการเยือนอังกฤษแล้วก็ตาม แต่อังกฤษเกิดดุลการค้ากับสหรัฐสูง ก็โดนเก็บภาษี 10% เช่นกัน” นายศุภวุฒิกล่าว

นายศุภวุฒิกล่าวต่อว่า ประเด็นคือ ถ้ารีบไปเจรจาตามที่หลายฝ่ายแนะนำ ก็เท่ากับให้ของฟรีกับสหรัฐหมด โดยไม่ได้อะไรตอบแทนเลย เพราะฉะนั้นเราควรเก็บกระสุนไว้ก่อน ขณะเดียวกันก่อนหน้าก็ไม่มีใครรู้ได้เลยว่า สรุปแล้วนายทรัมป์จะออกนโยบายแบบไหน จะไปเจรจาก่อนหน้ากับกระทรวงการคลังสหรัฐ กระทรวงพาณิชย์ของสหรัฐ หรือสำนักงานผู้แทนการค้าสหรัฐอเมริกา (USTR) ก่อนก็ไม่มีใครตอบคำถามได้

ADVERTISMENT

นายศุภวุฒิกล่าวว่า ดังนั้น ไทยเราจะเปลืองตัวไปทำไม กลับมาคิดว่าจะรับมืออย่างไรดีกว่า โดยจากการวิเคราะห์ของรัฐบาล สรุปสาเหตุที่สหรัฐขึ้นภาษีว่า

1. การขาดดุลการค้าทำให้สหรัฐเสียเปรียบ

ADVERTISMENT

2. เงินที่ได้มาจากการขึ้นภาษี นายทรัมป์จะนำไปโปะการขาดดุลงบประมาณของสหรัฐ ที่เกิดจากนโยบายการขยายอายุการลดภาษีให้คนรวยในสหรัฐ

และ 3. คือต้องการให้เกิดการกลับไปตั้งโรงงานและผลิตสินค้าที่อเมริกา นายทรัมป์คิดที่จะปิดประเทศตัวเองจากโลกภายนอก และอยู่ด้วยตัวเอง ในแนวคิด ผลิตเองใช้เองรวยเอง

เช็กศักยภาพ-ดูท่าที-สร้างพันธมิตร

เพราะฉะนั้นแนวทางการเจรจาของไทย โดยนายวุฒิไกร ลีวีระพันธุ์ ปลัดกระทรวงพาณิชย์ ในฐานะประธานคณะทำงานนโยบายการค้าสหรัฐอเมริกา ระบุว่า ศักยภาพของไทยคือความสามารถในการแปรรูปอาหารและส่งออกไปทั่วโลก ซึ่งอเมริกาเป็นหนึ่งในฐานการผลิตสินค้าเกษตรที่ดีมาก เช่น ถั่วเหลือง ข้าวสาลี ข้าวโพด ทำให้ไทยนำเข้าสินค้าเกษตรจากอเมริกาเพิ่ม และแปรรูปให้เป็นอาหารขายทั่วโลก

ซึ่งอีกส่วนสำคัญคือ เกษตรกรเป็นฐานเสียงสำคัญของพรรครีพับลิกันของสหรัฐและของทรัมป์

นายศุภวุฒิกล่าวว่า ส่วนการจะขอลดภาษีได้หรือไม่นั้น นายทรัมป์ได้เคยตอบสื่อมวลชนในวันที่แถลงขึ้นภาษีว่า ประเทศนั้น ๆ ต้องมีข้อเสนอที่มหัศจรรย์ (Phenomenon Offer) ให้สหรัฐ จึงจะพิจารณาลดภาษี คำถามต่อมาคิด ประเทศไทยจะมีข้อเสนอที่มหัศจรรย์อะไรให้สหรัฐได้ ให้ข้อเสนอไปก็อาจจะกลายเป็นการแอบทำข้อตกลงลับ ซึ่งไทยเราเดินสายกลาง ไม่ได้วิ่งไปหาและไม่ได้ตอบโต้ แต่กำลังหาทางออกว่าไทยจะอยู่ในยุคของนายทรัมป์ได้อย่างไร

ขั้นต่อไปคือดูท่าทีต่อไป เนื่องจากการประกาศขึ้นภาษีเมื่อวันที่ 2 เมษายน และการตอบโต้ของชาติต่าง ๆ ก็ทำให้ดัชนีหุ้นดาวโจนส์ร่วงกว่า 2,200 จุด และยังอยู่ในทิศทางขาลง และการที่อาจจะทำให้สินค้าในสหรัฐแพง แต่ทางนายทรัมป์ก็ยังบอกว่าไม่เป็นไร

ขณะที่ทางรัฐบาลไทยก็นำข้อเสนอจากสำนักงานผู้แทนการค้าสหรัฐอเมริกา (USTR) ที่มีรายละเอียดว่าไทยมีภาษีศุลกากรใดเหลื่อมล้ำสหรัฐบ้าง มาทบทวน และปรับให้เทียบเคียงกับสหรัฐมากขึ้น

“รวมทั้งจากที่เกาหลีใต้ได้เสนอขอนำเข้าก๊าซธรรมชาติและน้ำมันจากสหรัฐ ซึ่งทำให้เกิดการลงทุนโครงสร้างท่อส่งก๊าซนั้น ไทยก็ศึกษาพร้อมแสดงความสนใจ ก็นำเข้าก๊าซธรรมชาติด้วย ซึ่งข้อเสนอเหล่านี้เป็นการที่ไทยพาดบันไดเอาไว้ หากวันไหนที่สหรัฐถอย เพราะว่าก็ขึ้นภาษีศุลกากรทำให้ประเทศเขาแย่เอง และถอยมาลงบันไดที่ไทยเราพาดไว้ได้” นายศุภวุฒิกล่าว

ส่วนจังหวะการไปเจรจาเมื่อไหร่นั้น ตามปกติอเมริกามีสำนักงานผู้แทนการค้าสหรัฐอเมริกา (USTR) เป็นผู้เจรจาการค้าเป็นหลัก โดยต้องหารือกันในระดับเจ้าหน้าที่เพื่อคุยกันในรายละเอียดให้จบก่อน ที่ผ่านมาไทยก็มีกระทรวงพาณิชย์เป็นผู้ทำให้ที่เจรจา เพราะฉะนั้นรัฐบาลกระทรวงพาณิชย์จึงดูแล ซึ่งหากการเจรจามีเรื่องใดติดขัดค่อยมีการเจรจาในระดับรัฐมนตรีต่อไป

“ส่วนที่มีหลายฝ่ายเสนอว่าให้เจรจากับทรัมป์เลยนั้น คำถามคือไทยเรามีข้อเสนอที่มหัศจรรย์อะไรให้ทรัมป์ก่อน เพราะถ้าเตรียมตัวไม่ดี ไม่เช่นนั้นอาจจะเป็นแบบกรณีประธานาธิบดีโวโลดิเมียร์ เซเลนสกี ของยูเครน ปะทะคารมดุเดือดกับประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ และโดนทรัมป์ตำหนิต่อหน้าสื่อหรือไม่” นายศุภวุฒิกล่าว

ขณะที่กรณีที่ น.ส.แพทองธารได้มอบหมายนายพิชัย ชุณหวชิร รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง ไปเจรจากับสหรัฐนั้น สำหรับในรายละเอียดนั้น ไม่ได้ระบุให้นายพิชัยไปเจรจาต่อรองกับสหรัฐ แต่เป็นการพบปะหารือกับหลายภาคส่วน ซึ่งมีการพบปะเกษตรกรสหรัฐด้วย

ส่วนนี้เป็นยุทธศาสตร์ในการสร้างพันธมิตรกับเกษตรกรในอเมริกา เป็นการแสดงเชิงสัญลักษณ์ สำหรับการต่อยอดไปยังการเจรจานำเข้าสินค้าเกษตรเพื่อผลิตและแปรรูปเป็นอาหารส่งออกขายทั่วโลก อาทิ ข้าวโพดเลี้ยงสัตว์ ที่ไทยยังปลูกได้ต่ำกว่าความต้องการ

สำหรับนโยบายช่วยเหลือในระยะสั้น จากการขึ้นภาษีของสหรัฐนั้น จะมีการนำเงินกองทุนส่งเสริมการค้าระหว่างประเทศ คาดว่ามีอยู่ราว 3 พันล้านบาทในการช่วยเหลือด้านการเงินให้กับผู้ประกอบการด้านส่งออกของไทยที่ได้รับผลกระทบ และส่งเสริมเพื่อหาตลาดใหม่ รวมทั้งการสกัดการแอบอ้าง ใบรับรองแหล่งกำเนิดสินค้า (Certificate of Origin) เพื่อลดการเกินดุลด้วย