นายกฯ เผย USTR ตอบรับหารือไทย ลั่นจะไม่เสียเปรียบบนเวทีเศรษฐกิจโลก

นายกฯ ตั้งพิชัยหัวหน้าคณะพูดคุยเจรจาสหรัฐ เผย USTR ตอบรับแล้ว ย้ำรัฐบาลยึดผลประโยชน์ประเทศชาติ จะทำทุกอย่างรอบคอบ ไม่ประมาท ไม่ให้ไทยเสียเปรียบบนเวทีเศรษฐกิจโลก

นายจิรายุ ห่วงทรัพย์ โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี เปิดเผยว่า น.ส.แพทองธาร ชินวัตร นายกรัฐมนตรี เป็นประธานการประชุมหารือมาตรการรับมือกับนโยบายภาษีของสหรัฐอเมริกา

โดยมีนายพิชัย ชุณหวชิร รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง นายมาริษ เสงี่ยมพงษ์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศ นายพิชัย นริพทะพันธุ์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ นางนฤมล ภิญโญสินวัฒน์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ นายพิพัฒน์ รัชกิจประการ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงแรงงาน นายเอกนัฏ พร้อมพันธุ์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงอุตสาหกรรม นายพรหมินทร์ เลิศสุริย์เดช เลขาธิการนายกรัฐมนตรี นางนลินี ทวีสิน ประธานผู้แทนการค้าไทย ร่วมประชุม

นอกจากนี้ ที่ประชุมยังมีคณะทำงานนโยบายการค้าสหรัฐอเมริกาเข้าร่วมประชุม ประกอบด้วย นายพันศักดิ์ วิญญรัตน์ ประธานที่ปรึกษานโยบายของนายกรัฐมนตรี นายศุภวุฒิ สายเชื้อ ที่ปรึกษานโยบายของนายกรัฐมนตรี นายวุฒิไกร ลีวีระพันธุ์ ปลัดกระทรวงพาณิชย์ นายนฤตม์ เทอดสถีรศักดิ์ เลขาธิการคณะกรรมการส่งเสริมการลงทุน นายฉันทานนท์ วรรณเขจร เลขาธิการสำนักงานเศรษฐกิจการเกษตร น.ส.โชติมา เอี่ยมสวัสดิกุล อธิบดีกรมเจรจาการค้าระหว่างประเทศ น.ส.ใจไทย อุปการนิติเกษตร รองอธิบดีกรมอเมริกาและแปซิฟิกใต้ นางขวัญนภา ผิวนิล นักวิชาการพาณิชย์เชี่ยวชาญ และนายโอม บัวเขียว คณะทำงานประธานที่ปรึกษานโยบายของนายกรัฐมนตรี

นายกรัฐมนตรีกล่าวว่า สืบเนื่องจากการประกาศใช้มาตรการ “Reciprocal Tariffs” และ “Liberation Day” อย่างเป็นทางการ ของประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ เมื่อวันที่ 2 เมษายนที่ผ่านมา ถือเป็นการ “กำหนดกติกาการค้าโลกในรูปแบบใหม่” ที่อาจส่งผลกระทบเป็นวงกว้างต่อระบบเศรษฐกิจโลก รวมถึงต่อประเทศไทยในฐานะประเทศคู่ค้าสำคัญของสหรัฐ

รัฐบาลได้ตระหนักถึงความสำคัญของสถานการณ์ดังกล่าว และติดตามพัฒนาการอย่างใกล้ชิดตั้งแต่ 6 มกราคม 2568 ได้จัดตั้ง “คณะทำงานนโยบายการค้าสหรัฐอเมริกา” โดยมีปลัดกระทรวงพาณิชย์เป็นประธาน และมีผู้ทรงคุณวุฒิร่วมเป็นที่ปรึกษา อาทิ ศาสตราจารย์พิเศษ ดร.พันศักดิ์ วิญญรัตน์ และ ดร.ศุภวุฒิ สายเชื้อ

ADVERTISMENT

โดยมีเป้าหมายเพื่อศึกษา วิเคราะห์แนวโน้ม ตลอดจนกำหนดแนวทางรับมือทั้งในเชิงนโยบายและเชิงปฏิบัติร่วมกับภาครัฐ ภาคเอกชน และภาคประชาสังคมอย่างรอบด้าน

ทั้งนี้ ในที่ประชุมคณะรัฐมนตรีเมื่อเช้านี้ ได้มีการมอบหมายให้นายพิชัย ชุณหวชิร รองนายกรัฐมนตรี เป็นหัวหน้าคณะไปพูดคุยกับหลายภาคส่วนของอเมริกา โดยจะได้มีการประสานนัดหมาย เพื่อพูดคุยกับผู้ที่เกี่ยวข้อง ทั้งผู้แทนการค้าสหรัฐ (USTR) และหน่วยงานอื่น ๆ ของสหรัฐ เพื่อนำเอาข้อเสนอของไทยไปเจรจาต่อรอง

ADVERTISMENT

นายกรัฐมนตรีกล่าวว่า การประชุมวันนี้เป็นการติดตามสถานการณ์เพื่อกำหนด “ก้าวต่อไป” อย่างรอบคอบ เพื่อประโยชน์สูงสุดของคนไทย สิ่งที่สำคัญที่สุด คือ การวางยุทธศาสตร์และมาตรการต่าง ๆ ที่ตั้งอยู่บนหลักการ “รู้เขา” และ “รู้เรา”

ซึ่งในวันนี้ที่ประชุมไม่เพียงแต่ได้รับทราบรูปแบบการตอบโต้และแนวทางรับมือของประเทศต่าง ๆ ต่อมาตรการของสหรัฐเท่านั้น แต่ยังได้เห็นถึงปฏิกิริยาและการเคลื่อนไหวภายในสหรัฐที่ได้รับผลกระทบด้วย

นายกรัฐมนตรีเน้นย้ำว่า การดำเนินการของรัฐบาลต้องอาศัยความ “เร็ว” ด้วยการจัดตั้งคณะทำงานมาตั้งแต่เดือนมกราคม ก่อนประธานาธิบดีสหรัฐเข้ารับตำแหน่งเสียอีก พร้อมประสานงานกับสหรัฐมาตลอด ล่าสุดรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ได้รับการยืนยันจากผู้แทนการค้าสหรัฐ (USTR) สำหรับการหารือเจรจาแล้ว นอกจากนี้ จะต้อง “แม่นยำ” เพื่อให้การตัดสินใจตั้งอยู่บนข้อมูลที่ถูกต้องและรอบด้าน ติดตามความเคลื่อนไหวจากทุกภาคส่วนที่ได้รับผลกระทบเพื่อประเมินและหาข้อสรุปในการเจรจา

นอกจากการตอบสนองเชิงนโยบายระยะสั้นแล้ว นายกรัฐมนตรีระบุว่ารัฐบาลยังให้ความสำคัญกับการวางยุทธศาสตร์ระยะยาว โดยเน้นการปรับโครงสร้างเศรษฐกิจเพื่อเสริมความสามารถในการแข่งขันของประเทศ และการเปิดตลาดใหม่ให้กับสินค้าและบริการของไทย เพื่อลดการพึ่งพาตลาดเดิม พร้อมทั้งเตรียมมาตรการเยียวยาในระดับภาคประชาชน โดยเฉพาะกลุ่มผู้ประกอบการรายย่อยและแรงงานที่อาจได้รับผลกระทบจากมาตรการใหม่ของสหรัฐ

ในช่วงท้าย นายกรัฐมนตรีกล่าวย้ำว่า การเจรจาทางการค้าระหว่างประเทศไม่ใช่กระบวนการที่จบภายในครั้งเดียว แต่ต้องอาศัยการเจรจาหลายระดับ หลายเวที และต้องใช้เวลาในการประสานประโยชน์ร่วมกัน พร้อมขอให้ทุกหน่วยงานที่เกี่ยวข้องร่วมกันรวบรวมข้อมูล รายงานสถานการณ์ล่าสุด และเสนอแนวทางการดำเนินงานที่ชัดเจน เพื่อให้รัฐบาลสามารถกำหนดนโยบายที่ตอบโจทย์ทั้งเชิงเศรษฐกิจและความมั่นคงของประเทศ

นายกรัฐมนตรียืนยันว่านโยบายของรัฐบาลยึดผลประโยชน์ของประชาชนและประเทศชาติเป็นสำคัญ รัฐบาลจะดำเนินการทุกอย่างอย่างรอบคอบ ไม่ประมาท เพื่อไม่ให้ไทยต้องเสียเปรียบบนเวทีเศรษฐกิจโลก