
ประเทศไทยเผชิญหน้ากับภาวะแผ่นดินไหวถึง 2 ครั้งใหญ่-ในประวัติศาสตร์ ในเวลาไล่เลี่ยกัน
หนึ่งคือแผ่นดินไหวที่ได้รับผลสะเทือนจากเมียนมา-อีกหนึ่งคือแผ่นดินไหวทางเศรษฐกิจที่ได้รับผลสะเทือนจาก “มาตรการกำแพงภาษีทรัมป์” ถล่มเศรษฐกิจ-ภาคการส่งออกและภาคการผลิตไทยแบบถึงราก
รัฐบาลโดยทีมที่ปรึกษานายกรัฐมนตรี “พันศักดิ์ วิญญรัตน์” สนธิกำลังกับหัวหน้าทีมเศรษฐกิจของคณะรัฐมนตรี พิชัย ชุณหวชิร รองนายกรัฐมนตรี และ รมว.คลัง ร่วมกับกระทรวงพาณิชย์ จัดทีมใหญ่ เดินทางไปเปิดการเจรจากับตัวแทนประธานาธิบดี สหรัฐอเมริกา
ท่ามกลางการจับตาอย่างใกล้ชิดของฝ่ายค้าน “ประชาชาติธุรกิจ” สนทนากับ “วีระยุทธ กาญจน์ชูฉัตร” รองหัวหน้าพรรค และที่ปรึกษาด้านนโยบายพรรคประชาชน (ปชน.) ซึ่งคลุกวงแกนในมาตั้งแต่ยุคก่อตั้งพรรคอนาคตใหม่ (อนค.) จนถึงยุคพรรคก้าวหน้า และหากจะมีพรรคใหม่ “วีระยุทธ” น่าจะเป็นคนที่จะถูกผลักดันขึ้นเป็นหมายเลข 1
“พายุเศรษฐกิจโลกป่วน” สะเทือน GDP เหลือ 1-1.5%
วีระยุทธประเมินสถานการณ์เศรษฐกิจหลังสงกรานต์ ประเด็นใหญ่สุดคือสงครามการค้าจากนโยบายภาษีทรัมป์ ที่เริ่มก่อตัวเป็นพายุย่อยๆ ช่วง 90 วันนี้ แม้ผู้นำสหรัฐจะประกาศชะลอขึ้นกำแพงภาษีเกือบทุกประเทศ แต่ก็ยังทำให้ทุกอุตสาหกรรมปั่นป่วน เพราะได้รับผลกระทบจากสงครามการค้าระหว่างสหรัฐกับจีนที่เริ่มขึ้นแล้ว
เนื่องจากจีนเป็นประเทศหลักการนำเข้าส่งออกสินค้าวัตถุดิบหลายประเภททั่วโลก รวมทั้งไทย อาทิ ยางพารา เม็ดพลาสติก ชิ้นส่วนยานยนต์ เครื่องใช้ไฟฟ้า แผงวงจร ก่อนส่งไปสหรัฐ ดังนั้น การที่สหรัฐเริ่มคิกออฟทำสงครามการค้ากับจีน ทำให้ไทยโดนด้วย จะส่งผลสะเทือนถึง GDP ไทยปี’68 ไม่เป็นไปตามเป้าหมาย 3% นอกจากนี้ เมื่อสหรัฐและจีนทำสงครามการค้า ทำให้ประเทศต่าง ๆ ต้องมองหาตลาดอื่นทดแทน ตลาดทั่วโลกจะเกิดการแข่งขันรุนแรงและปั่นป่วนเพิ่ม
“มันเหมือนทะเลปั่นป่วน เมื่อคุณอยู่ในทะเล ก็ต้องเจอสถานการณ์ปั่นป่วนไปด้วย ไม่ว่าอยู่ตรงไหนในทะเล ทุกประเทศที่พึ่งพาการส่งออกนำเข้า จะไม่มีใครรอดจากผลกระทบสงครามนี้ ฉะนั้นผลกระทบไทยอนาคตคาดการณ์ในสถานการณ์เลวร้ายสุดอาจทำให้ GDP ปีนี้ ลดเหลือ 1-1.5% จากที่รัฐบาลตั้งเป้าไว้”
และหลังจากนี้ 90 วัน ต้องดูว่ารัฐบาลไทยเจรจาได้เพียงใด เพราะระหว่างนี้บริษัทขนาดใหญ่ที่มีฐานการผลิตในไทย เช่น กลุ่มอุตสาหกรรมอิเล็กทรอนิกส์ ได้ชะลอการผลิตแล้ว แม้ก่อนหน้านี้ตั้งแต่ต้นปี’68 ยอดการส่งออกพุ่งสูง เพราะเขาเร่งส่งออก เนื่องจากรู้ถึงความไม่แน่นอนทางเศรษฐกิจที่จะเกิดขึ้น จากนี้ก็จะได้เห็นสัญญาณอุตสาหกรรมต่าง ๆ ชะลอการผลิตชัดขึ้นเพื่อรอดูสถานการณ์ และดูว่าประเทศไหนเหมาะเป็นฐานการลงทุนในอนาคตที่สุด
“ไพ่ 2 ใบ” แต้มต่อไทย ควรวางบนโต๊ะดีลสหรัฐ
สำหรับ 5 แนวทางแก้เกมภาษี “ทรัมป์” รัฐบาลไทย อาทิ พิจารณานำเข้าสินค้าจากสหรัฐเพิ่ม ผ่อนคลายภาษีสินค้านำเข้าบางรายการ ปรับปรุงกลไกการค้า ตรวจสอบแหล่งกำเนิดสินค้าป้องกันไทยไม่ให้ถูกสวมสิทธิใช้เป็นทางผ่าน และปรับโครงสร้างการลงทุนอุตสาหกรรมพลังงาน
วีระยุทธมอง 5 แนวทางมาตรการที่ทีมเจรจาภาษีสหรัฐวางไว้ ว่าพรรคประชาชนเสนอรัฐบาลต้องดูให้ดี มีไพ่อะไรบนโต๊ะเจรจาบ้าง เพราะส่วนใหญ่รัฐมนตรีว่าการกระทรวงคลังฝ่ายไทย พูดถึงมาตรการเกี่ยวกับสินค้าการเกษตรและทบทวนการนำเข้าหลายรายการ แต่ยังมีอีก 2 ประเด็นที่ยังไม่พูดถึง
คือ 1.ภาคบริการ โดยรายละเอียดส่วนใหญ่ที่ผู้นำสหรัฐหยิบยกขึ้นมาเน้นกลุ่มสินค้า แต่มีอย่างหนึ่งที่สหรัฐได้ดุลการค้าหลายประเทศทั่วโลกรวมถึงไทย แต่แทบไม่มีการหยิบยกขึ้นมาพูดถึง คือการบริการดิจิทัลเซอร์วิส อาทิ สตรีมมิ่ง แพลตฟอร์มต่าง ๆ บนโซเชียล คลาวด์ ซอฟต์แวร์ เช่น YouTube, Facebook, Amazon, Google, Microsoft, Netflix ส่วนใหญ่อยู่ในสหรัฐ ซึ่งสร้างดุลการค้ามหาศาลจากทั่วโลก
วีระยุทธชี้ว่า เมื่อไทยเป็นหนึ่งในประเทศที่สร้างรายได้ภาคบริการเหล่านี้ให้สหรัฐ ก็ควรหยิบยกเรื่องนี้มาเป็นหนึ่งประเด็นในการต่อรอง นอกเหนือเรื่องสินค้าและอาหาร
“ต้องนำข้อมูลรายละเอียดเหล่านี้ไปเล่าให้สหรัฐทราบ เพราะเขารู้สึกถูกหลายประเทศเอาเปรียบ ไทยก็ควรเอาข้อมูลตรงนี้ไปชี้แจงว่าบริการดิจิทัลหลายอย่าง สหรัฐดูดเงินจากเศรษฐกิจไทยต่อปีมหาศาล เราต้องชี้แจงว่าไม่ควรเก็บภาษีไทยเพิ่ม”
และ 2.จากการประเมินรายละเอียดรายงานข้อมูลของสำนักงานผู้แทนการค้าสหรัฐ (USTR) ที่ระบุชัด ตลาดภาคบริการไทยค่อนข้างปิด เพราะเอื้อผู้ประกอบการรายใหญ่ในประเทศเป็นหลัก เช่น บริการภาคธนาคาร ผู้ให้บริการสื่อสารโทรคมนาคม ประกันภัย
ธุรกิจเหล่านี้มีความสำคัญ สหรัฐมองไทยกีดกัน แต่ธุรกิจกลุ่มนี้สามารถสร้างโอกาสทำให้เกิดความเห็นที่วิน-วินได้ ฉะนั้นหากไทยเปิดให้สหรัฐเข้ามา นอกจากส่งผลดีด้านการเจรจา ยังช่วยส่งผลให้เพิ่มการแข่งขันในประเทศและดีต่อผู้บริโภคด้วย เพราะปัจจุบันธุรกิจกลุ่มมีผู้ให้บริการไม่กี่รายในประเทศไทย ตรงนี้ควรเป็นไพ่อีกใบสำคัญของไทย
“ตลาดในประเทศ อะไรที่มันผูกขาด และสามารถเพิ่มการแข่งขันได้ ก็ควรเอาไปเจรจา”
สงครามการค้า ยืดเยื้อตลอดยุคทรัมป์
ส่วนหลังกลับบินเจรจาสหรัฐของทีมไทยแลนด์ วีระยุทธเชื่อว่าสงครามการค้าจะยังอยู่เรื่อย ๆ ตลอดสมัยโดนัลด์ ทรัมป์ ฉะนั้นอย่าคิดเจรจาเสร็จรอบแรกแล้วจบ ความปั่นป่วนทางเศรษฐกิจจะมีเป็นระยะ ๆ ดังนั้นการเจรจารอบแรกสำเร็จหรือไม่ รัฐบาลไทยต้องมีแผนรับมือระยะยาว จับตามองนโยบายรัฐบาลสหรัฐตลอด
“คุณ (รัฐบาล) จะทิ้งไพ่อะไรต้องอย่าลืมว่าสงครามการค้าครั้งนี้มันยาว ฉะนั้นอย่าเพิ่งทิ้งไพ่ทั้งหมดในการเจรจาครั้งเดียว เชื่อว่าแม้ครั้งนี้ชะลอได้ แต่มันจะมาอีก ฉะนั้นจังหวะแรก ต้องหาตัวที่วิน-วินก่อน”
ส่วนสถานการณ์เศรษฐกิจไทย ปี’67 รัฐบาลเหนื่อยจากปัญหาเศรษฐกิจในประเทศ หนี้ครัวเรือนฉุดกำลังซื้อ แต่ปี’68 ปัจจัยภายในไม่หาย ยิ่งเจอปัจจัยภายนอกรุมเร้าเหมือนรับปัญหาสองด้าน เชื่อว่าเศรษฐกิจไทยปีนี้ หนักกว่าปี’67 แน่นอน
“ปี’67 ไทยยังมีการส่งออกคอยช่วย แต่ปีนี้การส่งออกมีปัญหาเจอคลื่นซัดรุนแรง ทำให้เศรษฐกิจทั้งภายในและภายนอกประเทศ ป่วนทั้งสองทาง”
พลิกวิกฤต “ผ่าตัดใหญ่เศรษฐกิจไทย”
รองหัวหน้าพรรคประชาชนเสนอว่า แม้ขณะนี้รัฐบาลกำลังยืนอยู่ในภาวะเศรษฐกิจไม่ดี ตั้งแต่ปี’67 เพราะเป็นปัญหาที่ไม่เคยได้รับการผ่าตัด รัฐบาลควรใช้เวลานี้ผ่าตัดใหญ่เศรษฐกิจไทย เช่น แผ่นดินไหวอาจถูกโยงกับการคอร์รัปชั่น ดังนั้นต้องแก้ที่ตัวระบบป้องกันคอร์รัปชั่น
หากรู้ปัญหาภายในประเทศไทย คือการผูกขาดที่ทำให้การบริการแย่ลง สินค้าแพงขึ้น ควรใช้โอกาสนี้ผ่าตัดใหญ่
“หากเป็นภาวะปกติ คนอาจไม่พร้อมเปลี่ยนแปลง แต่ถ้าเป็นภาวะที่ทุกคนตระหนักถึงปัญหาเห็นวิกฤตในพายุใหญ่ มันก็มีโอกาสที่จะรวมพลังเปลี่ยนใหญ่ประเทศไทย”
วีระยุทธเสนออีกว่า วันนี้ควรมีการรีสกิลทักษะแรงงานไทยจริงจัง ที่ไม่ใช่แค่ซอฟต์พาวเวอร์ หากมองการแข่งขันอุตสาหกรรมใหม่ โลกกำลังหาสกิลแรงงานที่สามารถแข่งขันได้แม้ไม่มีนโยบายกำแพงภาษีทรัมป์ สกิลแรงงานไทยก็แข่งขันยากขึ้นเรื่อย ๆ ยกตัวอย่างอุตสาหกรรมยานยนต์วันนี้ไม่ได้มีเฉพาะรถสันดาป มีรถเทคโนโลยีใหม่ ๆ เพิ่มขึ้นเรื่อย ๆ ดังนั้นอุตสาหกรรมยานยนต์ต้องรีสกิลครั้งใหญ่
รวมถึงอุตสาหกรรมอิเล็กทรอนิกส์อื่น ๆ เพราะโลกวันนี้เข้าสู่ยุคสมาร์ทดิจิทัล แต่ประเทศไทยยังอยู่อุตสาหกรรมฮาร์ดดิสก์ไดรฟ์ ดังนั้น เราต้องตั้งโจทย์ว่าหลังสงครามการค้า หากสกิลแรงงานไทยยังเหมือนเดิม ก็ตายเหมือนเดิม ต้องตั้งเป้าระหว่างที่พายุกำลังมา ต้องทำให้แรงงานไทยแข็งแรงขึ้นทุกอุตสาหกรรม
ยุคนี้ต้อง “Thailand First-ทอง”
ส่วนการเตรียมตัวของประชาชนในการอยู่กับภาวะเศรษฐกิจแบบนี้ วีระยุทธมองว่า ระยะสั้นคนไทยควรใช้สินค้าไทย เพื่อช่วยประเทศในภาวะสงครามเศรษฐกิจ
“อเมริกาเขามี America First จีนมี China First ไทยเราก็ควรต้อง Thailand First เหมือนกัน ต้องให้ความสำคัญกับเศรษฐกิจในประเทศ เพราะที่ผ่านสินค้าไทยหายไปเยอะ”
นอกจากนี้ ระดับสมาคมภาคธุรกิจต่าง ๆ ตั้งแต่ระดับกลาง ระดับเล็ก ควรรวมตัวและออกมาส่งเสียงเพื่อปกป้องธุรกิจ ไม่ให้ถูกสินค้าชาติอื่นทะลักเข้ามา หากสินค้าไหนเสียงดังก็จะถูกหยิบยกขึ้นไปไว้บนโต๊ะเจรจาด้วย
ส่วนการลงทุน วันนี้ประชาชนมีความระมัดระวังสูง เพราะเห็นภาวะการลงทุนปั่นป่วนทั่วโลก จึงเป็นเรื่องปกติที่คนไหลไปลงทุนทองคำ ซึ่งถือเป็นเรื่องปกติ
หลังการเจรจารัฐบาลต้องส่งเสียงให้ประชาชนรับทราบผลการพูดคุยเป็นอย่างไร ลบหรือบวก เพราะภาคธุรกิจตลาดทุนต้องการความแน่นอน หากรับรู้ล่วงหน้าและมีความชัดเจนทุกคนจะได้ปรับตัวล่วงหน้า เพราะทุกคนต้องการความแน่นอน
พ.ร.บ.คอมเพล็กซ์ ไม่ตอบโจทย์กระตุ้นเศรษฐกิจไทย
ส่วนมุมมองต่อกฎหมายเอ็นเตอร์เทนเมนต์คอมเพล็กซ์ ถูกชะลอ 90 วัน เมื่อครบกำหนดจะเป็นช่วงเวลาเดียวกับที่ทรัมป์ชะลอการขึ้นภาษี ฉะนั้นช่วงเดือนกรกฎาคม ต้องติดตามว่ารัฐบาลจะจัดการปัญหารับมือเศรษฐกิจโลกได้ดีแค่ไหน แต่ระหว่างนี้ควรทำความเข้าใจและการศึกษาความเป็นไปได้โครงการนี้ให้ชัดเจน แต่ปัจจัยสำคัญมองคือความสัมพันธ์ภายในพรรคร่วมรัฐบาล
เชื่อว่าเอ็นเตอร์เทนเมนต์คอมเพล็กซ์ ไม่ตอบโจทย์การผ่าตัดใหญ่เศรษฐกิจไทย