
คดีฮั้ว สว.ที่ปรากฏภาพเจ้าหน้าที่กรมสอบสวนคดีพิเศษ (ดีเอสไอ) และ ตำรวจ ปูพรมแปะหมายเรียก สว. 54 คน เมื่อสัปดาห์ก่อน
นาทีนี้พลิกกลับ 180 องศา เมื่อศาลรัฐธรรมนูญมีมติเอกฉันท์ สั่งให้ “พ.ต.อ.ทวี สอดส่อง” รมว.ยุติธรรม หยุดปฏิบัติหน้าที่เฉพาะในฐานะที่กำกับดีเอสไอ และในฐานะรองประธานคณะกรรมการคดีพิเศษ
ย้อนไปต้นทางของเรื่อง นับตั้งแต่ ดีเอสไอ เปิดเกมล้ม สว. และมีการเรียกประชุมคณะกรรมการคดีพิเศษ ถึง 2 ครั้ง เพื่อรับคดีฮั้ว สว.เป็นคดีพิเศษ โดยเฉพาะคดีฐานความผิดฟอกเงิน และรับคดีอั้งยี่ในเวลาต่อมา
ปรากฏว่ากลุ่ม สว.สีน้ำเงิน 92 คน ได้ไปยื่นต่อศาลรัฐธรรมนูญ เพื่อให้พิจารณาสถานะของผู้มีอำนาจ 2 ราย
หนึ่ง ภูมิธรรม เวชยชัย รองนายกรัฐมนตรี และ รมว.กลาโหม
สอง พ.ต.อ.ทวี สอดส่อง รมว.ยุติธรรม
โดยกล่าวอ้างว่า การที่ผู้ถูกร้องทั้งสองมี มติให้การกระทำความผิดทางอาญาอื่นเป็นคดีพิเศษ ตามพระราชบัญญัติการสอบสวนคดีพิเศษ พ.ศ. 2547 และที่แก้ไขเพิ่มเติม มาตรา 21 วรรคหนึ่ง (2) เป็นการแทรกแซงหรือครอบงำหน้าที่และอำนาจของคณะกรรมการการเลือกตั้ง โดยใช้กรมสอบสวนคดีพิเศษเป็นเครื่องมือแทรกแซงกระบวนการตรวจสอบการเลือกสมาชิกวุฒิสภา
อันเป็นการกลั่นแกล้ง กดดัน ข่มขู่ และครอบงำสมาชิกวุฒิสภาซึ่งเป็น ฝ่ายนิติบัญญัติ ขัดต่อหลักการแบ่งแยกอำนาจและฝ่าฝืนหลักนิติธรรม จึงถือได้ว่าผู้ถูกร้องทั้งสองไม่มีความซื่อสัตย์สุจริตเป็นที่ประจักษ์และมีพฤติกรรมเป็นการฝ่าฝืนหรือไม่ปฏิบัติตามมาตรฐานจริยธรรมอย่างร้ายแรง ตามรัฐธรรมนูญ มาตรา 160 (4) และ (5) เป็นเหตุให้ความเป็นรัฐมนตรีของผู้ถูกร้องทั้งสองสิ้นสุดลง เฉพาะตัวตามรัฐธรรมนูญ มาตรา 170 วรรคหนึ่ง (4) ประกอบมาตรา 160 (4) และ (5) หรือไม่ และได้ขอให้ศาลรัฐธรรมนูญสั่งทั้ง 2 คน หยุดปฏิบัติหน้าที่
โดยส่งผ่าน มงคล สุระสัจจะ ประธานวุฒิสภา มายังศาลรัฐธรรมนูญ
ซึ่งศาลรัฐธรรมนูญรับคำร้อง เมื่อ 26 มีนาคม 2568 พร้อมสั่งให้ “ภูมิธรรม – ทวี” ส่งคำชี้แจงมายังศาลรัฐธรรมนูญ
แต่เรื่องระหว่างบรรทัดเกิดเมื่อเจ้าหน้าที่ดีเอสไอ ลงสอบคดีที่ จ.อำนาจเจริญ แต่อีกด้านหนึ่งผู้ว่าราชการจังหวัดอำนาจเจริญ ทำหนังสือด่วนที่สุดถึงปลัดกระทรวงมหาดไทย ระบุถึงพฤติการณ์ของเจ้าหน้าที่ดีเอสไอ ที่เข้าไปสอบสวนข้อเท็จจริงผู้สมัคร
รวมถึงการ กรณีมีผู้สมัคร สว.มาร้องต่อ พล.ต.ต.ฉัตรวรรษ แสวงเพชร สว.ในฐานะ ผู้มีอำนาจดำเนินการใด ๆ ทั้งปวงในคดีที่ยื่นให้ศาลรัฐธรรมนูญพิจารณาเกี่ยวกับคดีฮั้ว สว. แทน สว.92 คนในศาลรัฐธรรมนูญ ว่า ดีเอสไอสอบปากคำโดยไม่เป็นไปตามขั้นตอน
และการที่เจ้าหน้าที่ดีเอสไอ ปูพรมแปะหมายเรียกตามบ้านพัก สว. ซึ่ง กลุ่ม สว.สีน้ำเงินระบุว่า เป็นการข้ามขั้นตอนการปฏิบัติในการแจ้งข้อกล่าวหาของ กกต.
เรื่องราวระหว่างบรรทัด กลายมาเป็น “คำร้องเพิ่มเติม” ฉบับลงวันที่ 7 พฤษภาคม 2568 วันที่ 13 พฤษภาคม 2568 และล่าสุดวันที่ 14 พฤษภาคม 2568 ที่ยื่นศาลรัฐธรรมนูญ ศาลรัฐธรรมนูญ รับและวินิจฉัยทันที
โดยศาลรัฐธรรมนูญพิจารณาในวันที่ 14 พฤษภาคม สั่งให้ พ.ต.อ.ทวี หยุดปฏิบัติหน้าที่กำกับดีเอสไอ
ผลการพิจารณาจึงออกมาตอนหนึ่งว่า สำหรับกรณีปรากฏข้อเท็จจริงตามคำร้องเพิ่มเติมของผู้ร้อง ฉบับลงวันที่ 14 พฤษภาคม 2568 พร้อมเอกสารประกอบ ขอให้ศาลรัฐธรรมนูญมีคำสั่งให้ผู้ถูกร้องทั้งสองหยุดปฏิบัติหน้าที่จนกว่าศาลจะมีคำวินิจฉัยถึงที่สุด
ศาลมีมติเป็นเอกฉันท์ เห็นว่า ผู้ถูกร้องที่ 1 (นายภูมิธรรม) ดำรงตำแหน่งรองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการ กระทรวงกลาโหม ยังไม่ปรากฏเหตุอันควรสงสัยว่ามีกรณีตามที่ถูกร้องที่จะสั่งให้ผู้ถูกร้องที่ 1 หยุดปฏิบัติหน้าที่
ส่วนผู้ถูกร้องที่ 2 (พ.ต.อ.ทวี) ดำรงตำแหน่งรัฐมนตรีว่าการกระทรวงยุติธรรม มีหน้าที่และอำนาจ ในการสั่งและปฏิบัติราชการในฐานะผู้บังคับบัญชาข้าราชการกระทรวงยุติธรรมอันรวมไปถึงกรมสอบสวนคดีพิเศษ ตามคำร้องเพิ่มเติมและเอกสารประกอบ
“ปรากฏเหตุอันควรสงสัยว่า ผู้ถูกร้องที่ 2 มีกรณีตามที่ถูกร้อง จึงสั่งให้ผู้ถูกร้องที่ 2 หยุดปฏิบัติหน้าที่รัฐมนตรีว่าการกระทรวงยุติธรรมเฉพาะในฐานะผู้กำกับดูแลกรมสอบสวนคดีพิเศษและรองประธานกรรมการคดีพิเศษตามพระราชบัญญัติการสอบสวนคดีพิเศษ พ.ศ.2547 ตามรัฐธรรมนูญ มาตรา 82 วรรคสอง ตั้งแต่วันที่ 14 พฤษภาคม 2568 จนกว่าศาลรัฐธรรมนูญจะมีคำวินิจฉัย”
ขณะเดียวกัน ศาลรัฐธรรมนูญมีมติเอกฉันท์เช่นกัน ที่ตีตกคำร้อง ของ สว.สำรอง ที่ให้วินิจฉัยสถานะของ “พล.ต.ต.ฉัตรวรรษ” กับ สว.92 คน กรณี ยื่นเรื่องให้คณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (ป.ป.ช.) เอาผิด พ.ต.อ.ทวี สอดส่อง และ พ.ต.ต.ยุทธนา แพรดำ อธิบดีกรมสอบสวนคดีพิเศษ (ดีเอสไอ)
ย้อนไปหลังที่ที่ประชุม กคพ.รับปมฮั้ว สว.เป็นคดีพิเศษ สว.92 คน นอกจากไปยื่นศาลรัฐธรรมนูญแล้วยังยื่นต่อ ป.ป.ช.เอาผิด พ.ต.อ.ทวี และ พ.ต.ต.ยุทธนา ในฐานความผิดประมวลกฎหมายอาญามาตรา 157 เมื่อ 14 มีนาคม
ทำให้ พล.ต.ท.คำรบ ปัญญาแก้ว และคณะ ในฐานะ สว.สำรอง ขอให้ศาลรัฐธรรมนูญวินิจฉัยตามรัฐธรรมนูญมาตรา 82 ว่า พล.ต.ต. ฉัตรวรรษ แสงเพชร และคณะ (ผู้ถูกร้อง) ซึ่งเป็นสมาชิกวุฒิสภา จำนวน 92 คน ได้ร่วมกันลงลายมือชื่อและยื่นหนังสือต่อประธานวุฒิสภาขอให้ส่งคำร้องไปยังคณะกรรมการป้องกันและปราบปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ(ป.ป.ช.) เอาผิด พ.ต.อ.ทวี และ พ.ต.ต.ยุทธนา
ทว่า ศาลรัฐธรรมนูญพิจารณา มีมติเอกฉันท์ ยกคำร้อง โดยศาลอภิปรายแล้วเห็นว่า ผู้ร้องเป็นเพียงผู้มีรายชื่อเป็นผู้ได้รับเลือกเป็นสมาชิกวุฒิสภา (บัญชีสำรอง) มิได้มีสถานะเป็นสมาชิกวุฒิสภาที่มีสิทธิเข้าชื่อร้องต่อประธานวุฒิสภาเพื่อส่งคำร้องนั้นนั้นไปยังศาลรัฐธรรมนูญ และมิได้เป็นผู้มีสิทธิยื่นคำร้องต่อศาลรัฐธรรมนูญได้แต่อย่างใด กรณีจึงไม่ต้องด้วยหลักเกณฑ์และเงื่อนไขตามรัฐธรรมนูญ มาตรา 82 วรรคหนึ่งที่ศาลรัฐธรรมนูญจะรับไว้พิจารณาวินิจฉัยได้
“ศาลรัฐธรรมนูญมีมติเป็นเอกฉันท์มีคำสั่งไม่รับคำร้องไว้พิจารณาวินิจฉัย”
ด้าน พ.ต.อ.ทวี สอดส่อง รัฐมนตรีว่าการกระทรวงยุติธรรม ให้สัมภาษณ์ว่า เคารพศาล จะปฏิบัติตามคำสั่งศาลรัฐธรรมนูญ หยุดปฏิบัติหน้าที่กำกับดูแลกรมสอบสวนคดีพิเศษ (ดีเอสไอ) และรองประธานคณะกรรมการคดีพิเศษ (กคพ.)
แต่ที่ผ่านมาไม่เคยเข้าไปก้าวก่ายการสืบสวนสอบสวนของดีเอสไอ หลังจากนี้ คงทำหนังสือชี้แจงศาลตามกรอบเวลา มั่นใจว่าสามารถชี้แจงได้ เพราะในทางปฏิบัติรัฐมนตรีไม่สามารถเข้าไปยุ่งเกี่ยวหรือแทรกแซงคดี ส่วนตัวมองว่าคำสั่งศาลรัฐธรรมนูญเป็นเรื่องที่ดี จะทำให้ทุกฝ่ายสบายใจ การเคารพศาลจะเป็นการสร้างความเข้มแข็งให้หลักนิติธรรม
ส่วนคดีฮั้วอั้งยี่และฟอกเงินที่เกี่ยวพันกับการฮั้วสว. จะสะดุดหยุดลงหรือไม่ พ.ต.อ.ทวี กล่าวว่า “ผมกับ กกต.ไม่เคยคุยกัน ดีเอสไอก็ทำงานไปตามปกติ งานคดีของดีเอสไอไม่หยุดชะงัก เพราะศาลไม่ได้สั่งให้หยุด เรื่องคดีความก็เดินไปตามกฎหมาย รัฐมนตรีว่าการกระทรวงยุติธรรมไม่ได้ทำให้เดินหน้าหรือถอยหลัง ส่วน กกต.เป็นองค์กรอิสระ”
จากฉากการต่อสู้ระหว่างดีเอสไอ กับ สว.สีน้ำเงิน ผ่าน 2 เหตุการณ์ ที่เป็นมติของศาลรัฐธรรมนูญ
นาทีนี้ลูกถูกเขี่ยมาอยู่ฝ่ายไหนย่อมดูไม่ยาก…