
คอลัมน์ : Politics policy people forum
การเมืองไทย ไม่มีมิตรแท้และศัตรูถาวร
เช่นเดียวกัน การเมืองไทย นับแต่เปลี่ยนแปลงการปกครอง ผ่านคลื่นลมผันผวนมาหลายยุคสมัย ไม่มีพรรคการเมืองที่เป็น “พรรคเฉพาะกิจ” อยู่ยั่งยืนค้ำฟ้า
ไม่ว่าพรรคเสรีมนังคศิลา ของ จอมพล ป. พิบูลสงคราม ที่ตั้งเพื่อรองรับการเลือกตั้งในปี 2500 พรรคสหประชาไทย ของจอมพลถนอม กิตติขจร ตั้งขึ้นมาเพื่อรับการเลือกตั้งปี 2511 พรรคสามัคคีธรรม ตั้งขึ้นมาเพื่อสืบทอดอำนาจคณะรักษาความสงบเรียบร้อยแห่งชาติ (รสช.)
หรือในยุคทศวรรษหลังจากรัฐประหาร 2549 พรรคเพื่อแผ่นดิน พรรคมัชฌิมาธิปไตย พรรครวมใจไทยชาติพัฒนา ล้วนตั้งอยู่และดับไป
แต่อีกสถานะหนึ่ง พรรคการเมืองเหล่านี้ ถือว่าเป็น “พรรคพลังดูด-เปลี่ยนเกม” ที่ยังไม่ดับและอยู่ในช่วง “ขาขึ้น”
กล้าธรรมสยายปีก
นาทีนี้ พรรคกล้าธรรม ที่มี “นฤมล ภิญโญสินวัฒน์” เป็นหัวหน้าพรรค และมีบิ๊กเนม “ร.อ.ธรรมนัส พรหมเผ่า” สส.พะเยา ในฐานะประธานที่ปรึกษา กำลังขึ้นหม้อ-เนื้อหอมทางการเมืองอย่างยิ่ง เป็นพรรคพลังดูดพรรคใหม่
นอกจากกวาดต้อนไพร่พล สส.พรรคพลังประชารัฐ จาก พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ 20 เสียง พร้อมกับเขี่ยอดีตพรรคแกนนำจัดตั้งรัฐบาลเมื่อ 6 ปีที่แล้วไปเป็นฝ่ายค้าน
ยังบุกกวาดต้อนการเมืองท้องถิ่นตั้งแต่ระดับเทศบาล ไปจนถึงการประกาศชัยชนะระดับนายกองค์การบริหารส่วนจังหวัด
นักการเมืองระดับชาติ ทั้งในภาคตะวันออก กฤษฎิ์ ชีวะธรรมานนท์ สส.พรรคประชาชน
ภาคใต้ จากชัยชนะเขต 8 นครศรีธรรมราช ก้องเกียรติ เกตุสมบัติ หรือ “บิ๊กโอ” แซงชนะผู้สมัครจากพรรคภูมิใจไทย ทำให้พรรคกล้าธรรม ปักธงภาคใต้ได้สำเร็จ
และได้อดีต 2 สส.กทม. จากไทยสร้างไทย ร.อ.อนุดิษฐ์ นาครทรรพ และการุณ โหสกุล มาเสริมทัพเมืองหลวง
จากนี้ พรรคกล้าธรรม ปักธงเตรียมพร้อมสู้ศึกเลือกตั้งในอีก 2 ปีข้างหน้า รุกคืบในภาคใต้ 14 จังหวัด ภาคกลาง และภาคตะวันออก สานความต้องการมี สส.ครบทุกภาค
“พรรคกล้าธรรมไม่เคยใช้เงินดูด สส.เข้าร่วมงานการเมือง ส่วนการใช้เงิน 55 ล้านซื้อตัวงูเห่านั้น ไม่มีพรรคไหนโง่ที่จะทำแบบนั้น” ร.อ.ธรรมนัสกล่าว
อย่างไรก็ตาม “โค้ช” ของพรรคกล้าธรรม ยอมรับว่าสนิทสนมกับ “ทักษิณ ชินวัตร” อดีตนายกรัฐมนตรี ซึ่งถือเป็นเรื่องปกติที่จะจับมือกันสร้างความแข็งแกร่งให้กับรัฐบาลและพรรคกล้าธรรม เพื่อสร้างพรรคให้ใหญ่ขึ้น ไม่ได้มีเจตนาที่จะร่วมมือกับพรรคเพื่อไทยคานอำนาจพรรคภูมิใจไทย
กล้าธรรม รุกคืบทั่วไทย
แม้คนในพรรคเพื่อไทย ปฏิเสธว่าพรรคกล้าธรรมไม่ได้เป็นสาขาของพรรคเพื่อไทย แต่ในความเป็นจริงพรรคกล้าธรรม วาง Position ตัวเองไว้เสริมจุดอ่อนให้กับพรรคเพื่อไทย
“บางจังหวัด บางภาค บางพรรคขายไม่ได้ ผมก็เข้าไป”
ธรรมนัส-กล้าธรรม ทำการบ้านก่อนเลือกตั้ง 2 ปี ทั้งพื้นที่ภาคเหนือตอนล่าง ภาคกลาง ที่ผสมผสานหลายพรรค ไม่มีพรรคการเมืองไหน เป็น “เจ้าของพื้นที่” และแน่นอน เป็นเขตที่พรรคเพื่อไทยอ่อนแอ พรรคกล้าธรรมจะเป็นตัวเสริม
ขณะที่การเมืองภาคตะวันออกอย่างชลบุรี ที่มีบ้านใหญ่ “คุณปลื้ม” และบ้านใหม่ “ชมกลิ่น” ฟาดฟันกันแย่งเก้าอี้ในช่วงเลือกตั้ง 2566 ทว่า นับแต่การเลือกตั้งนายก อบจ. เมืองหลวงภาคตะวันออกอย่างชลบุรี ปรากฏว่า ทั้ง “คุณปลื้ม-ชมกลิ่น” หลีกทางให้กัน ผสานกับกล้าธรรม ที่เริ่มเข้าไปรุกพื้นที่ตะวันออก เช่น จ.ปราจีนบุรี เมื่อการเมืองบ้านใหญ่วิลาวัลย์โรยรา
เมื่อการเมืองสไตล์ “ธรรมนัส” ไม่มีศัตรูถาวร พร้อมเปลี่ยนมาเป็นมิตร อาจเห็น “สุชาติ ชมกลิ่น” เข้ามาแตะมือพรรคกล้าธรรม
“สิ่งที่ผมกับ รมต.เฮ้ง อดีต รมต.ชาดา ไทยเศรษฐ์ ลงพื้นที่ปราจีนฯ ไม่ใช่เป็นเรื่องบังเอิญ เราเป็นพี่น้อง ได้คุยการเมือง อนาคตการเมือง ไม่ได้หมายว่าทั้ง 2 ท่านจะมาอยู่กับผม ถามว่าอนาคตปี’70 เฮ้งจะมาอยู่กับผมไหม ไม่มีอะไรแน่นอน ถ้าวันใดวันหนึ่งได้ร่วมอุดมการณ์กับน้องเขา ถือว่าเป็นโชคดีของผม ผมพูดได้แค่นี้” ร.อ.ธรรมนัสกล่าว
ภูมิใจไทย ขยายอำนาจ
อีกหนึ่งพรรคที่เป็นตัวเปลี่ยนเกม ในนาทีนี้คือ “พรรคภูมิใจไทย” มีอายุข้ามทศวรรษ และนับวันยิ่งแข็งแกร่งมากขึ้นเรื่อย ๆ เป็นพรรคอันดับสองในรัฐบาลแพทองธาร เป็นพรรคพลังดูด
ที่เข้าเป้ามากที่สุด
หลังการเลือกตั้ง 2562 จุดตั้งต้นของพรรคภูมิใจไทยมีเพียงแค่ 51 เสียงในสภา เป็นพรรคอันดับสามในรัฐบาล พล.อ.ประยุทธ์ แต่ภายหลังการยุบพรรคอนาคตใหม่ พลังดูดก็เริ่มทำงาน สามารถดูด สส.จากพรรคอนาคตใหม่ 11 คน เสียง สส.ในกำมือขยับเป็น 61 เสียง กระทั่งเวลาผ่านไปเรื่อย ๆ พรรคภูมิใจไทยมี สส.ในมือกว่า 70 เสียง
ในช่วงท้าย ๆ ของรัฐบาลประยุทธ์ พรรคภูมิใจไทยมี สส.ในสภาสังกัดพรรคภูมิใจไทย รวมกับ สส.งูเห่าต่างพรรคที่ยอมลาออกจาก สส.เพื่อมาเข้าพรรคภูมิใจไทยเกิน 100 คน
เหตุที่พรรคภูมิใจไทยตั้งเป้าดูด สส.ให้ทะลุร้อยในตอนนั้น เพราะเดินเกมตามทฤษฎีการเมือง สส.เก่าที่ลงเลือกตั้งใหม่จะหายหน้า-สอบตกราว 20-30% ดังนั้น พรรคภูมิใจไทยจะได้อย่างน้อย ๆ 70 เสียง การันตีความเป็นไปได้ เพื่อให้มีอำนาจต่อรองบนกระดาน
ภาคกลาง ภูมิใจไทยมีบ้านใหญ่การเมืองเด่น ๆ ทั้งบ้านใหญ่ปริศนานันทกุล บ้านใหญ่ไทยเศรษฐ์-อีสานไม่ต้องพูดถึง ทั้งอีสานตอนบน อีสานใต้ มี สส.-นายทุนแข็งแกร่ง บดบี้เพื่อไทยสูสี ส่วนภาคใต้ มีบ้านใหญ่-ทุนใหญ่ “รัชกิจประการ” ดูแลพื้นที่
แหล่งข่าวพรรคภูมิใจไทย ฉายภาพ Scenario การคำนวณจำนวน สส.ที่ส่งผลต่อสถานะในพรรคร่วมรัฐบาลขณะนั้นว่า ถ้าการันตีได้เก้าอี้กระทรวงเกรดซี ได้ สส.ในมือแค่ 30 เสียง แต่ถ้าอยากได้กระทรวงเกรด A มีอำนาจต่อรองสูง ต้องได้ สส. 70-120 เสียง แต่อย่าเกินกว่านั้น จะเป็นแกนนำจัดตั้งรัฐบาล
แล้วในที่สุด เมื่อผลการเลือกตั้ง 14 พฤษภาคม 2566 ปรากฏออกมา พรรคภูมิใจไทย พูดแล้วทำได้เข้าเป้า 71 ที่นั่ง ได้เข้าร่วมรัฐบาลพรรคเพื่อไทย ได้กระทรวงเกรดเอ คุม 4 กระทรวงหลัก ทั้งกระทรวงมหาดไทย กระทรวงศึกษาธิการ กระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม กระทรวงแรงงาน และ รมช.พาณิชย์อีก 1 ตำแหน่ง
แม้ในขณะนี้จะลดเหลือ 69 เสียง จากการหยุดปฏิบัติหน้าที่ และการแพ้เลือกตั้งซ่อมที่นครศรีธรรมราช แต่อำนาจการต่อรองในรัฐบาลเหลือล้น เพราะสามารถกระโดดข้ามดุล ไปคุม สว.สีน้ำเงิน อีก 130+ เสียง
พลังประชารัฐถูกเปลี่ยนเกม
ขณะที่พรรคพลังประชารัฐ อีกหนึ่งพรรคเปลี่ยนเกมที่เคยดูด สส.เป็นกอบเป็นกำ เมื่อการเลือกตั้ง 6 ปี ก่อน สามารถชนะเลือกตั้ง ได้ สส.เขต 97 คน โดย 91 คน เป็น สส.เก่าที่ถูกดูดเข้ามา และได้ สส.บัญชีรายชื่อ 18 คน ได้คะแนนเสียงทั้งสิ้น 8,433,137 เสียง เป็นจุดตั้งต้นของรัฐบาลประยุทธ์ แต่ขณะนี้เริ่มเสื่อมมนต์ขลังในปัจจุบัน ถูกเปลี่ยนเกมให้เป็นฝ่ายค้าน แต่ผ่านไป 4 ปี พรรคพลังประชารัฐ แตกละเอียดภายในระดับบน ถูกแยกออกมาเป็นพรรครวมไทยสร้างชาติ ตัดกำลังกันเองในการเลือกตั้ง 2566
และสุดท้ายเป็นพรรคพลังประชารัฐที่ถูกเปลี่ยนเกม