
รมช.กลาโหม ถกศูนย์เฉพาะกิจสถานการณ์ชายแดนไทย-กัมพูชา บ่ายนี้ แก้เรื่องเร่งด่วน ปูแผนงานระยะยาว ขอคนมีอำนาจตัดสินใจร่วม-ตั้งโฆษกตอบโต้ ‘ฮุน เซน’ โพสต์รายวัน ยันคนทั้งประเทศไม่ได้คิดเหมือนผู้นำ
พล.อ.ณัฐพล นาคพาณิชย์ รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงกลาโหม กล่าวถึงการประชุมศูนย์เฉพาะกิจสถานการณ์ชายแดนไทย-กัมพูชา ในช่วงบ่ายวันนี้ ว่าปัจจุบันคำสั่งแต่งตั้งคณะกรรมการชุดเฉพาะกิจอยู่ระหว่างการยกร่างและอยู่ในขั้นการประสานงาน และคาดว่าจะเสร็จเรียบร้อยภายในวันนี้ เนื่องจากเป็นเรื่องเร่งด่วน
และบ่ายนี้จะมีการประชุมเพื่อตรวจสอบ ว่าแต่ละหน่วยงานที่เกี่ยวข้องส่งใครมาร่วม ไม่ว่าจะเป็นปลัดกระทรวง ผู้แทน หรือ ผบ.หน่วย ระดับปลัด หรือเทียบเท่า ซึ่งต้องเป็นผู้ที่สามารถตัดสินใจได้ทันที เพื่อที่จะได้รับทราบแนวทางการทำงานต่อไป
สำหรับมาตรการเพื่อสนับสนุนการประชุมคณะกรรมการชายแดนส่วนภูมิภาค ไทย-กัมพูชา หรือ RBC ที่จะเกิดขึ้นในช่วงปลายเดือนนี้ เพื่อปรับลดกำลังทหารของทั้งสองฝ่ายออกจากพื้นที่ ซึ่งคงต้องหารือกัน แต่เป้าหมายที่จะตั้งศูนย์นี้ขึ้นมา เพื่อขับเคลื่อนและบูรณาการงานที่เกิดขึ้นเฉพาะหน้า พร้อมทั้งรับทราบและติดตามงานที่จะต้องใช้ระยะเวลา
เช่น การประชุมคณะกรรมการเขตแดนร่วมไทย-กัมพูชา หรือ JBC และศาลยุติธรรมระหว่างประเทศ หรือ ICJ แต่ยืนยันว่าศูนย์ดังกล่าวไม่ควรอยู่นานเกิน 1 เดือนด้วยซ้ำ และจะพยายามทำให้สถานการณ์คลี่คลายโดยเร็ว
รมช.กลาโหมยังกล่าวว่า ศูนย์ดังกล่าวจะเป็นการแก้ไขปัญหาเฉพาะหน้า เช่นการปิดด่านบ้านแหลมและด่านผักหาดหอม จังหวัดจันทบุรี ทำให้ไม่สามารถขนส่งผลไม้ไทยข้ามแดนไปได้ ซึ่งตนได้เสนอนายกรัฐมนตรีและนายภูมิธรรม เวชยชัย รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม ให้กระทรวงพาณิชย์รับซื้อผักผลไม้ทั้งหมด รวมถึงเชิญชวนภาคเอกชนมาช่วยซื้อ
ซึ่งปัจจุบันนายภูมิธรรมได้ประสานกับกระทรวงพาณิชย์แล้ว และขณะนี้อยู่ระหว่างการดำเนินการ หรือในอนาคตทางกัมพูชาปิดด่านอื่นไม่ให้นักเรียนเข้ามาเรียนหนังสือ ก็ต้องหารือกับกระทรวงศึกษาธิการในการแก้ไขปัญหา นี่ถือเป็นความจำเป็นที่ต้องตั้งหัวหน้าแต่ละหน่วยงานเข้ามาอยู่ในศูนย์เฉพาะกิจนี้
พล.อ.ณัฐพลยังระบุว่า ศูนย์ดังกล่าวจะมีการตั้งโฆษกเพื่อชี้แจงข่าวสารเชิงรุก โดยตั้ง พล.ร.ต.สุรสันต์ คงศิริ ผู้ทรงคุณวุฒิกองทัพไทย และรองโฆษกกองทัพไทย ทำหน้าที่โฆษก รับผิดชอบการแถลงข่าวงานที่เกี่ยวข้องกับเรื่องความมั่นคง และอธิบดีกรมสารนิเทศ กระทรวงการต่างประเทศ แถลงด้านงานต่างประเทศ
ซึ่งจะต้องทำหน้าที่ชี้แจงในทุกประเด็น ไม่ว่าจะเป็นประเด็นในโซเชียล หรือกรณีสมเด็จฮุน เซน ประธานพฤฒสภากัมพูชา และอดีตนายกรัฐมนตรี ที่ออกมาโพสต์ข้อความผ่านโซเชียลมีเดียแบบรายวัน เพื่อชี้แจงประชาชนให้เกิดความเข้าใจ ซึ่งจะเริ่มทำงานตั้งแต่พรุ่งนี้เป็นต้นไป
ส่วนชื่อศูนย์กำลังให้กฤษฎีกากำลังตรวจสอบให้อยู่ แต่ปัจจุบันใช้คำว่าทีมไทยแลนด์ก่อน โดยจะใช้สภาความมั่นคงแห่งชาติ หรือ สมช.เป็นสถานที่ทำงาน และจะใช้ตึกนารีสโมสรเพื่อแถลงข่าว และจะมีการประชุมกันในเวลา 09.30 น.ของทุกวัน ซึ่งยอมรับว่าการทำงานจะคล้ายกับ ศปก.ศบค. ที่ผ่านมา แต่ไม่เหมือนเสียทีเดียว เพราะมีทั้งงานเฉพาะหน้าและงานระยะยาว แต่ยืนยันว่าศูนย์ดังกล่าวจะไม่ก้าวก่ายงานของหน่วยงานอื่น เช่น กระทรวงการต่างประเทศ และกองทัพ
เมื่อถามว่าศูนย์ดังกล่าวมีอำนาจในการพิจารณามาตรการตอบโต้หรือไม่ พล.อ.ณัฐพลกล่าวว่าก็ไม่เชิง หากเป็นมาตรการที่อยู่ในอำนาจที่สามารถตกลงกันได้ ซึ่งการทำงานที่ผ่านมาเราดำเนินการอยู่แล้ว และมีการรวมตัวมาก่อนหน้านี้ เพียงแต่มาทำให้เป็นรูปแบบที่เป็นทางการ มาตรการตอบโต้บางอย่างก็จำเป็น หากทางกัมพูชาดำเนินการบางสิ่งบางอย่างที่ส่งผลกระทบต่อจุดผ่านแดนตามแนวชายแดน แต่อำนาจดังกล่าวต้องเสนอไปยังนายกรัฐมนตรีให้รับทราบและตกลงกัน
นอกจากนี้ ที่ผ่านมารัฐบาลกัมพูชาได้ขอให้ฝั่งไทยทำความเข้าใจกับสื่อมวลชนและประชาชน หรือสื่ออื่น ๆ ไม่ให้เสนอข่าวสร้างความเกลียดชัง แต่ได้ชี้แจงไปว่าประเทศไทยให้อิสระเสรีกับสื่อและประชาชนในการแสดงความคิดเห็น ซึ่งจะต่างกับทางกัมพูชาที่มีการเสนอเป็นแนวทางเดียวกัน แต่อย่างไรก็ตาม
“อยากขอสื่อและประชาชนอย่านำเสนอให้เกิดความเกลียด เพราะคนกัมพูชาส่วนหนึ่งก็ทำงานอยู่ที่ประเทศไทยหลักแสนคน และอีกทั้งคนกัมพูชาทั้งประเทศไม่ได้คิดแบบนั้นเสมอไป จึงอยากให้ช่วยกัน เพราะทุกคนคงรู้ว่าเหตุการณ์ชายแดนไทยกัมพูชาที่เป็นเช่นนี้ เป็นเพราะคนกัมพูชาทั้งประเทศหรือไม่ การไปสร้างความเกลียดชังคนกัมพูชาทั้งหมดไม่น่าจะถูกต้อง”
เมื่อถามว่าที่จังหวัดสระแก้วห้ามคนไทยเดินทางข้ามไปกาสิโนฝั่งกัมพูชา เป็นมาตรการตอบโต้ใช่หรือไม่ พล.อ.ณัฐพลชี้แจงว่าเป็น 1 ใน 4 มาตรการ เรื่องการเปิด-ปิดด่าน ตนยืนยันว่าเราเปิดด่านตลอดเวลา เพียงแต่กำหนดเวลาเปิด-ปิด จึงไม่อยากให้ใช้คำว่าปิดด่าน
เพราะทางฝ่ายกัมพูชาหยิบไปเป็นประเด็น ยืนยันว่าเราคิดถึงความเดือดร้อนของประชาชนทั้งสองฝั่ง เพราะเขาไม่มีส่วนเกี่ยวข้องในปัญหาเรื่องดังกล่าว ถึงแม้ว่าคนของกัมพูชาจะเชื่อทางฝั่งสมเด็จฮุนเซน ก็เป็นเรื่องของเขา แต่ก็มองว่าชาวกัมพูชาอีกส่วนหนึ่งไม่น่าจะมีความคิดเช่นนั้น ขอวิงวอนให้สื่อลงข้อมูลให้ครบถ้วน ไม่เช่นนั้นตนก็จะโดนโจมตีว่าเป็นคนไทยหัวใจเขมรเหมือนที่ผ่านมา