เศรษฐกิจสะดุดการเมืองป่วน เอกชนหวั่นงบ69 ไม่ผ่าน ทุบซ้ำเชื่อมั่นนักลงทุน

ภาษีทรัมป์ ศึกอิหร่าน-อิสราเอล ชายแดนไทย-กัมพูชา

เปิดมุมมองภาคเอกชนไทยกรณีปัญหาทางการเมือง ประธานหอการค้าไทยเป็นห่วงเจอ 3 วิกฤตรุมเร้าทั้งภาษีทรัมป์ ศึกอิหร่าน-อิสราเอลกระทบน้ำมัน ซ้ำด้วยปัญหาตะเข็บชายแดนไทย-กัมพูชา จี้รัฐบาลสร้างความชัดเจน เร่งปรับ ครม.เดินหน้าแก้ปัญหาเศรษฐกิจ ด้านสภาอุตสาหกรรมฯ ชี้การเมืองภายในกระทบความเชื่อมั่นนักลงทุน แต่วอนแก้ตามระบบประชาธิปไตย อย่ามีรัฐประหาร ส่วนภาคการเงินยังกุมขมับ ชี้ที่ผ่านมาแห่ทิ้งหุ้นไปเยอะแล้ว ยิ่งมาเกิดปัญหาความไม่แน่นอนการเมืองทำให้แย่ลงไปอีก

จากความปั่นป่วนและวุ่นวายทางการเมืองภายใน และระหว่างประเทศไทยกับกัมพูชา โดยเฉพาะประเด็นคลิปเสียง ที่ทำให้เกิดสถานการณ์พรรคภูมิใจไทยถอนตัวจากรัฐบาล และยังมีปัญหาม็อบเกิดขึ้น จนส่งผลถึงปัญหาเศรษฐกิจทั้งความผันผวนในภาพรวม และความไม่มั่นใจของนักลงทุนมากขึ้น

เปิดมุมมองภาคธุรกิจ

ผู้สื่อข่าว “ประชาชาติธุรกิจ” สำรวจข้อคิดเห็นและข้อเสนอแนะจากวงการธุรกิจ โดยนายพจน์ อร่ามวัฒนานนท์ ประธานกรรมการหอการค้าไทย และสภาหอการค้าแห่งประเทศไทย กล่าวว่า กรณีคลิปเสียงสนทนาระหว่าง น.ส.แพทองธาร ชินวัตร นายกรัฐมนตรี กับสมเด็จฮุน เซน ประธานวุฒิสภาของกัมพูชา ส่งผลกระทบต่อความเชื่อมั่นจนหายไป สถานการณ์ในขณะนี้ทำให้เกิดการหยุดชะงักทั้งในด้านการเมือง และเศรษฐกิจไทย เนื่องจากไม่มีความชัดเจนหรือแน่นอนในด้านใดเลย

ประเทศไทยจึงยืนอยู่ในภาวะที่มีความเสี่ยงสูงมาก ทั้งจากปัจจัยต่างประเทศที่ยังต้องหาทางรับมืออยู่ โดยเฉพาะการเจรจารับมือกับอัตราภาษีของสหรัฐ ความขัดแย้งทางภูมิรัฐศาสตร์ ทั้งยังต้องเผชิญกับปัจจัยเสี่ยงในประเทศที่เพิ่มเข้ามาอีก ซึ่งตอนนี้ประเทศไทยก็อยู่ท่ามกลางพายุเศรษฐกิจอยู่แล้ว

จี้รัฐเร่งแก้ปัญหาให้ชัดเจน

“ภาพที่ยังไม่ชัดเจนในตอนนี้ว่ารัฐบาลจะดำเนินการอย่างไร ทำให้ประเมินผลลำบากมาก เพราะมีทั้งภาพการอยู่ต่อของรัฐบาล และการยุบสภา แต่ภาวะในตอนนี้ประเมินผลในเชิงเศรษฐกิจมีสูงมากอย่างแน่นอน โดยเฉพาะหากมีการยุบสภา เพราะไม่สามารถใช้งบประมาณเพื่อกระตุ้นเศรษฐกิจนอกแผนจากงบประมาณปกติได้ เพราะผิดรัฐธรรมนูญที่วางไว้”

ตอนนี้จึงมองว่าความไม่ชัดเจนเหตุการณ์บ้านเมืองจะต้องรีบจบให้ได้โดยเร็ว เพื่อให้ภาครัฐสามารถเดินหน้าต่อไปได้ ไม่อย่างนั้นก็จะเกิดภาวะหยุดชะงักไปแบบนี้ แต่จะให้วิเคราะห์ว่ารัฐบาลควรจะยุบสภา หรือให้นายกฯลาออก แบบนี้คงไม่ได้ เพราะหอการค้าไม่เกี่ยวข้องกับการเมือง แต่รัฐบาลจะต้องตัดสินใจให้จบโดยเร็ว และต้องเป็นทางเลือกที่ทุกภาคส่วนยอมรับได้

เรื่องค้างรอรัฐสานต่อเยอะ

นายพจน์กล่าวอีกว่า ประเทศไทยในตอนนี้มีงานใหญ่ที่รอรัฐบาลเดินหน้าตามแผนหลายเรื่องมาก โดยเฉพาะเรื่องใหญ่อย่างการเจรจาเพื่อรับมือกับอัตราภาษีของสหรัฐ การเจรจาเขตการค้าเสรี (เอฟทีเอ) ในประเทศต่าง ๆ ที่รอให้ประเทศไทยสานต่อจนจบ ภาพผลกระทบในตอนนี้จึงมีหลายเรื่องมาก ทั้งยังมีปัญหาเรื่องการสู้รบระหว่างอิสราเอลกับอิหร่าน ซึ่งแต่ละเรื่องก็ยังไม่จบ และไม่รู้จะจบได้หรือไม่

ADVERTISMENT

ขณะที่เครื่องยนต์ขับเคลื่อนเศรษฐกิจไทย ทั้งภาคการท่องเที่ยวยังมีปัญหาจากนักท่องเที่ยวจีนหายไป รวมถึงตลาดอื่น ๆ ก็ชะลอตัวลง ภาคการส่งออกก็มีผลกระทบจากภาวะเศรษฐกิจ และความเสี่ยงภาษีของสหรัฐ ส่วนตลาดทุนไทยก็ยังไม่ได้ดีมากขึ้น ทำให้หากงบประมาณที่วางไว้ว่าจะนำมากระตุ้นเศรษฐกิจต้องชะงักไป เพราะความไม่แน่นอนทางการเมือง ผลกระทบก็จะมีมากกว่าเดิม

ขอความชัดเจน-เร่งปรับ ครม.

นายพจน์กล่าวว่า หากรัฐบาลแก้ปัญหาด้วยการให้นายกรัฐมนตรีลาออก คณะรัฐมนตรี (ครม.) ทั้งชุดก็จะถูกยุบไป ทำให้เกิดปัญหาความชะงักในการบริหารบ้านเมือง ทั้งภายนอกและภายใน เพราะการจัดตั้ง ครม.ใหม่ อาจต้องใช้เวลาอย่างน้อยหลายเดือน แต่หากรัฐบาลเลือกวิธียุบสภาอย่างน้อยก็ยังมีรักษาการนายกรัฐมนตรี และ ครม. ทำให้รัฐบาลรักษาการยังสามารถขับเคลื่อนเศรษฐกิจต่อไปอย่างต่อเนื่องในช่วงอีก 2-3 เดือนข้างหน้านี้

ดังนั้น สิ่งที่ต้องการคือ อยากให้รัฐบาลสร้างความชัดเจนโดยเร็วที่สุด โดยเฉพาะหากจะปรับคณะรัฐมนตรีก็ต้องเดินหน้าโดยเร็วและสามารถเร่งแก้ไขปัญหาสถานการณ์ที่เกิดขึ้นได้ เพราะยังมีหลายเรื่องที่ต้องการให้รัฐบาลเร่งแก้ไข รวมถึงการจัดการกับงบฯกระตุ้นเศรษฐกิจ 1.57 แสนล้านบาท

ส.อ.ท.ชี้กระทบเชื่อมั่น

นายเกรียงไกร เธียรนุกุล ประธานสภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย (ส.อ.ท.) กล่าวว่า ขณะนี้ทั้งสถานการณ์สู้รบในตะวันออกกลาง ระหว่างอิหร่านกับอิสราเอลที่รุนแรงมากขึ้น และการเจรจากำแพงภาษีระหว่างไทยกับสหรัฐ ยังไม่รู้ว่าจะออกมาเป็นอย่างไร เป็นไปในทิศทางที่ดีหรือไม่ เมื่อเทียบกับประเทศเพื่อนบ้านหรือคู่แข่ง หากผลออกมาไทยเสียเปรียบ จะยิ่งส่งผลกระทบต่อการส่งออก และเศรษฐกิจภายในประเทศในช่วงครึ่งหลังของปี 2568

ประกอบกับปัญหาชายแดนระหว่างไทยกับกัมพูชา ทำให้ไทยเผชิญความเสี่ยงมากกว่าที่คณะกรรมการร่วมภาคเอกชน 3 สถาบัน (กกร.) เคยคาดการณ์ไว้ก่อนหน้านี้ โดยเฉพาะกรณีคลิปเสียง ส่งผลกระทบต่อความเชื่อมั่นของประเทศไทย และเป็นความเสี่ยงต่อเศรษฐกิจ เป็นอีกหนึ่งปัจจัยที่เพิ่มขึ้นมาภายในประเทศของเราเอง

“สถานการณ์ขณะนี้น่ากังวลมากขึ้น เนื่องจากประเด็นที่เกิดขึ้นถือเป็นเรื่องใหม่ที่เพิ่มเข้ามา จากความไม่แน่นอนทางการเมือง ซึ่งเป็นปัจจัยภายในประเทศ แต่ทั้งนี้ภาคเอกชนต้องคอยติดตามสถานการณ์อย่างใกล้ชิดว่า เสถียรภาพของรัฐบาลจะเป็นอย่างไร จะมีจำนวนพรรคร่วมเท่าไหร่ และทิศทางต่อไปจะเป็นอย่างไร”

มองเป็นปัญหาระยะสั้น

นายอิศเรศ รัตนดิลก ณ ภูเก็ต รองประธานสภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย (ส.อ.ท.) ให้ความเห็นในนามส่วนตัวว่า ปัญหาความขัดแย้งบริเวณชายแดนระหว่างไทย-กัมพูชา ในตอนนี้บานปลายออกไปมากกว่าที่คิด กลายเป็นประเด็นการเมืองภายในประเทศส่งผลกระทบต่อตำแหน่งผู้นำ รวมถึงความมั่นคงทางการเมืองของไทยด้วย เพราะความมั่นคงทางการเมืองเป็นปัจจัยสำคัญในการสร้างความเชื่อมั่นทางเศรษฐกิจให้กับนักลงทุน ถ้าการเมืองในประเทศไม่มั่นคงก็ส่งผลต่อความเชื่อมั่นทางเศรษฐกิจ

อย่างไรก็ตาม กรณีคลิปเสียงคงมีผลกระทบต่อความเชื่อมั่นของนักลงทุนทั้งในและต่างประเทศระยะสั้นเล็กน้อย เพราะไม่เคยมีการเปิดเผยการพูดคุยระดับผู้นำประเทศในแบบนี้มาก่อน แต่ถ้าพรรคเพื่อไทยยังกุมสภาพได้ รวมทั้งที่ท่านนายกฯออกมาแถลงขอโทษกองทัพ และทำความเข้าใจกับประชาชน คิดว่าความเชื่อมั่นก็จะกลับมาได้ในที่สุด

แก้ตามระบบ-ไม่รัฐประหาร

“สิ่งที่ภาคเอกชนอยากเห็น คือ ถ้ามีการเปลี่ยนแปลงทางการเมืองควรเป็นไปตามระบบ ไม่ใช่อำนาจนอกระบบ เช่น การรัฐประหาร โดยทางเลือกของผู้นำประเทศในภาวะวิกฤตและภายใต้กติกามี 3 ทางเลือก คือ 1.น.ส.แพทองธาร ยังดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรีต่อไป และปรับคณะรัฐมนตรี (ครม.) 2.นายกฯลาออก แล้วให้สภาเลือกนายกรัฐมนตรีคนใหม่พร้อม ครม.ใหม่ 3.ยุบสภา เพื่อให้ประชาชนเลือกผู้แทนของตัวเองใหม่และกลับมาเลือกนายกรัฐมนตรีคนใหม่”

ตอนนี้ไทยยังเจอปัญหาสงครามในตะวันออกกลางระหว่างอิสราเอล-อิหร่าน ปัญหาสงครามในยุโรปตะวันออก ระหว่างรัสเซีย-ยูเครน ปัญหาจากนโยบายทรัมป์ 2.0 ที่จะมีผลต่อประเทศไทยในต้นเดือนกรกฎาคมนี้ รวมถึงปัญหาชายแดนระหว่างไทยและกัมพูชา อาจจะกระทบกับรายได้การส่งออกรวมถึง GDP ของประเทศ

กระทบดัชนีหุ้นปรับลง 2 วันติด

ผู้สื่อข่าวรายงานว่า จากสถานการณ์ความไม่แน่นอนทางการเมืองส่งผลกระทบต่อตลาดหุ้นไทย สะท้อนผ่านดัชนี SET ที่ปรับตัวลงทันทีที่มีข่าวเรื่องคลิปเสียง (18 มิ.ย.) โดย SET Index ปิดตลาดสิ้นวันปรับตัวลดลง 19 จุด หรือ -1.71% ปิดที่ 1068.7 จุด มูลค่าการซื้อขาย 4.6 หมื่นล้านบาท

ขณะที่วันต่อมา (19 มิ.ย.) มีการถอนตัวจากรัฐบาลของทางพรรคภูมิใจไทย โดยรัฐมนตรีหลายรายประกาศลาออก ทำให้หุ้นไทยปรับตัวลงแรงต่อเนื่องเป็นวันที่ 2 โดยสิ้นวันปิดตลาดที่ 1,068.73 จุด ลดลง 25.85 จุด หรือ -2.36% นักลงทุนสถาบันในประเทศถล่มขายสุทธิ 6,393.63 ล้านบาท

นักลงทุนกุมขมับการเมืองไทย

ดร.ก้องเกียรติ โอภาสวงการ ประธานกรรมการบริหาร บมจ.เอเซีย พลัส กรุ๊ป โฮลดิ้งส์ (ASP) และบริษัทหลักทรัพย์ เอเซีย พลัส จำกัด กล่าวว่า ประเทศไทยมีหลายปัญหาที่ไม่ถูกแก้ไข ที่สำคัญคือการเมืองทำให้ทุกอย่างสะดุดตลอดเวลา ซึ่งจุดอ่อนก็คือรัฐบาลมาจากพรรคการเมืองหลาย ๆ พรรคมารวมกัน อีกประเด็นคือคอร์รัปชั่น ไม่กำจัดเรื่องนี้อย่างจริงจัง ทำให้คนไม่มีความมั่นใจที่จะมาลงทุน

จากสถานการณ์การเมืองในปัจจุบันนักลงทุนทุกคนเบื่อหน่าย จากเดิมมองในแง่ลบอยู่แล้ว เห็นได้จากการขายหุ้นทิ้งออกไปเยอะ แล้วมาเกิดปัญหาขึ้นอีกจะยิ่งเหนื่อย ต่อให้หุ้นราคาถูกคนก็ไม่อยากลงทุน เพราะหุ้นยังลงได้อีกเรื่อย ๆ ไม่รู้ว่าจุดต่ำสุดจะอยู่ตรงไหน ซึ่งหากสุดท้ายเกิดสะดุดงบประมาณปี 2569 ไม่ผ่านอีกจะเละกันไปใหญ่ จึงได้แต่หวังว่าจะมีทางออกในทางที่ดีขึ้น แต่ตอนนี้ยังมองไม่ค่อยเห็น

ขณะที่การเจรจาภาษีกับสหรัฐนั้น ดร.ก้องเกียรติกล่าวว่า หากยังเจรจาไม่จบ แล้วรัฐบาลกลายเป็นรัฐบาลรักษาการ ก็นึกไม่ออกว่าจะไปเจรจากับทรัมป์ได้อย่างไร เพราะเขาก็จะมองว่า ถึงเจรจาไปก็อาจจะไม่มีผลในทางปฏิบัติ

กังวลการเมืองไม่แน่นอน

ด้าน ดร.พิพัฒน์ เหลืองนฤมิตชัย หัวหน้านักเศรษฐศาสตร์ กลุ่มธุรกิจการเงินเกียรตินาคินภัทร กล่าวว่า ช่วงนี้นักลงทุนต่างชาติกังวลการเมืองไทยว่า ทำไมวุ่นวายขนาดนี้ โดยการเมืองไทยเป็นเรื่องที่ทำความเข้าใจยาก มีความไม่แน่นอนสูง ซึ่งการที่งบประมาณปี 2569 จะผ่านหรือไม่ ขึ้นกับการเมืองเลยว่าจะตกลงกันได้หรือไม่ จะยุบสภาเกิดขึ้นก่อนหรือเปล่า ทั้งนี้ หากถึงขั้นงบประมาณไม่ผ่าน เศรษฐกิจไทยไตรมาสสุดท้ายปีนี้จะติดลบแน่นอน

“สิ่งที่นักลงทุนกังวลก็มี 3-4 เรื่อง คือ 1.Growth Story คืออะไร ซึ่งตอนนี้ก็ยังไม่รู้ 2.การเมืองที่มีความไม่แน่นอนสูง มีความวุ่นวาย 3.ธรรมาภิบาลของบริษัท ก็ยังเป็นประเด็น และ 4.สภาพคล่อง โดยประเด็นการเมืองมีน้ำหนักเยอะ เพราะมีความไม่แน่นอนเยอะมาก และเข้าใจยากมาก”

ฟื้นเชื่อมั่นนักลงทุนไทย-เทศ

ด้านนายประเสริฐ แต่ดุลยสาธิต นายกสมาคมอาคารชุดไทย กล่าวว่า ตอนนี้ปัจจัยลบที่เข้ามากระทบเศรษฐกิจโดยรวมมาจากหลายปัจจัยมาก เป็น The Great Perfect Storm อย่างแท้จริง ไม่ว่าจะเป็นเรื่องแผ่นดินไหว ทรัมป์อิมแพ็กต์ ปัญหาสงคราม ความขัดแย้งตะเข็บชายแดนไทย-กัมพูชา กับปัญหาการเมืองในประเทศที่เปราะบางมาก ทำให้นักลงทุนทั้งไทยและต่างประเทศขาดความมั่นใจ น่าจะเป็นโจทย์หลักที่รัฐบาลต้องเร่งฟื้นความเชื่อมั่นให้เร็วที่สุด

ตอนนี้เป็นจังหวะที่ดีต้องทำให้เกิดความเชื่อมั่น และคนไทยทุกคนลุกขึ้นมาเพื่อจะปกป้องผลประโยชน์ประเทศชาติ ถึงเวลาแล้วที่ต้องมาปรับโครงสร้างระยะยาวของประเทศไทย คือแก้ปัญหาเรื่องการทุจริต เพราะจุดเริ่มต้นจากการฝังรากลึกเรื่องการทุจริต ทำให้ประเทศเราไม่ไปไหน ถ้าจะหาคนที่มีฝีมือ คณะรัฐบาลที่มีฝีมือมาแก้ได้ ตรงนี้เป็นจุดเริ่มต้น จะเป็นเรื่องที่ดีที่สุด และจะทำให้ประเทศไทยไปได้ระยะยาว ๆ และจะทำให้ประเทศแก้ปัญหาได้โดยอัตโนมัติ

ต้องเร่งแก้วิกฤตศรัทธา

นายสุนทร สถาพร นายกสมาคมบ้านจัดสรร กล่าวเพิ่มเติมว่า คลิปเสียงที่เกิดขึ้นกระทบกับวิกฤตความเชื่อมั่นต่อรัฐบาล ต้องแก้ปัญหาตรงนี้ กล่าวคือเราต้องมีทางออก เพราะใกล้จะเป็นวิกฤตศรัทธาแล้วจากการมีคนลุกขึ้นมาประท้วงทั่วประเทศ ใกล้ถึงจุดนั้นแล้ว เพราะตอนนี้องค์กรสถาบันหลัก ๆ ที่เขาไม่เดินต่อตามนโยบายภาครัฐ มันก็เลยทำให้เดินหน้าต่อไปไม่ได้ รัฐบาลน่าจะต้องพิจารณาหาทางออก

อย่างไรก็ตาม กรณีการเปลี่ยนตัวผู้นำ ตามกรอบรัฐธรรมนูญถ้าพรรคการเมืองใดมีหัวหน้าพรรคที่มีสิทธิเป็นแคนดิเดตขึ้นเป็นนายกรัฐมนตรี ก็ต้องให้ว่ากันตามระบบ ไม่ควรจะให้ความเห็นว่าเราชอบหรือไม่ชอบใคร แต่ให้เลือกตามระบบเพื่อให้ระบบเดินต่อไปได้