
คณะรัฐมนตรี แพทองธาร 1/1 คาดใช้โควตา 1 รัฐมนตรี ต่อจำนวน สส. 7 คน ระทึกศาลรัฐธรรมนูญ นัดประชุมวาระพิเศษ หลังทูลเกล้าฯ รายชื่อ ครม.
หลังจากวง Tea Time อาหารว่าง ดื่มน้ำชามื้อบ่าย เมื่อวันอาทิตย์ที่ 22 มิถุนายน 2568 ที่โรงแรมโรสวูดกรุงเทพฯ ของบรรดาพรรคร่วมรัฐบาล 7 พรรค ทั้งเพื่อไทย (พท.) รวมไทยสร้างชาติ (รทสช.) ประชาธิปัตย์ (ปชป.) กล้าธรรม (กธ.) ชาติไทยพัฒนา (ชทพ.) ชาติพัฒนา (ชพน.) และพรรคประชาชาติ (ปชช.) จบลงด้วยระบบ “โควตาใหม่”
ที่นำโควตารัฐมนตรีของพรรคภูมิใจไทย 69 เสียง ที่ถอนตัวออกจากการร่วมรัฐบาล 8 ตำแหน่ง มาเกลี่ยใหม่ และให้แกนนำพรรค นำ “ยอดโควตาใหม่” ไปเสนอรายชื่อ พร้อมประวัติ ในวันถัดไป
จากนี้ไปจะเข้าสู่กระบวนการ นำเสนอรายชื่อรัฐมนตรี ในโควตาของแต่ละพรรค ให้กับเลขาธิการนายกรัฐมนตรี จากนั้นจะนำรายชื่อส่งให้สำนักเลขาธิการคณะรัฐมนตรี (สลค.) นำไปตรวจสอบประวัติ เมื่อตรวจสอบเสร็จสิ้น เลขาธิการคณะรัฐมนตรี จะจัดการพิมพ์ร่างประกาศ พระบรมราชโองการ ประวัติผู้ได้รับการเสนอชื่อแต่งตั้ง แล้วเสนอนายกรัฐมนตรี ลงนามในหนังสือกราบบังคมทูล ที่เหลือเป็นกระบวนการทูลเกล้าฯ และรอพระบรมราชโองการ
สถานะคณะรัฐมนตรี “แพทองธาร 1/1”
การปรับคณะรัฐมนตรีครั้งนี้นับว่าเป็นการปรับครั้งที่ 1 หลังนางสาวแพทองธาร ชินวัตร ได้รับการโปรดเกล้าฯ แต่งตั้งเป็นนายกรัฐมนตรี เมื่อวันที่ 18 สิงหาคม 2567 จึงเรียกการสถานะของคณะรัฐมนตรี ชุดนี้ว่า “แพทองธาร 1/1”
ตามคำบรรยายของนายวิษณุ เครืองาม อดีตเลขาธิการคณะรัฐมนตรี และรองนายกรัฐมนตรีด้านกฎหมาย ที่บันทึกไว้ว่า “บางรัฐบาลมีการปรับ ครม.บ่อยมาก ปรับเล็ก ปรับน้อย แต่ที่สื่อมวลชนเรียกว่า หนึ่ง สอง ถาม เช่น รัฐบาลเปรม 1 บรรหาร 1 บรรหาร 2 ความจริงไม่น่าเป็นเช่นนั้น แต่ก็สะดวกในการจำว่าปรับมาแล้วกี่ครั้ง ซึ่งแสดงถึงการไม่รู้จักลงตัวสักที”
“ภายหลังจึงมีผู้เสนอว่าควรเอานายกฯ เป็นหลัก เมื่อยังไม่มีการเปลี่ยนตัวนายกฯ ก็อย่าไปเรียก หนึ่ง สอง เพราะถ้า เปรม 2 ก็ควรแปลว่า พลเอกเปรม สมัยที่ 2 ชวน 2 อานันท์ 2 ก็แปลว่าสมัยที่สอง จึงเกิดมีศัพท์ใหม่ว่า ทับหนึ่ง ทับสอง เช่น ชวนสองทับหนึ่ง สองทับสอง แปลว่ารัฐบาลชวนสมัยที่สองและปรับหนที่หนึ่ง หนที่สอง”
เมื่อเดือนเมษายน 2567 ซึ่งอยู่ระหว่างการปรับคณะรัฐมนตรี เศรษฐา ทวีสิน นายวิษณุพบกับนักข่าว และฝากบทสนทนาถึงนักข่าวทำเนียบรัฐบาลว่า “อีกไม่กี่วันจะมีการปรับคณะรัฐมนตรี อยากให้ผู้สื่อข่าวเขียนข่าวให้ถูกต้องว่า ให้เรียกการปรับ ครม.ครั้งนี้ว่าเป็น เศรษฐา 1/1”
อาจารย์ด้านกฎหมายมหาชน และผู้เขียนหนังสือหลังม่าน ครม.-โลกนี้คือละคร ยังอธิบายเหตุผลเพิ่มเติมด้วยว่า “รัฐบาล นายกรัฐมนตรี ที่ได้รับการโปรดเกล้าฯ มา ก็เป็นนายกรัฐมนตรี สมัยที่ 1 ดังนั้น การปรับ ครม.กี่ครั้งก็ยังเป็นนายกรัฐมนตรีเศรษฐา ทวีสิน คนเดิม”
ดังนั้น จึงเรียกสถานะทางการเมืองในการปรับ ครม. ให้เพิ่มเป็นทับ 1 หรือทับ 2 ไปเรื่อย ๆ จนกว่าจะมีการเปลี่ยนนายกรัฐมนตรี หรือหากเปลี่ยนนายกรัฐมนตรี แล้วถ้านายเศรษฐากลับมาเป็นนายกรัฐมนตรีอีกครั้ง จึงเรียกว่า “เศรษฐา 2” เวลานั้นจึงเรียกสถานะ ครม. เศรษฐาที่มีการปรับครั้งแรกว่า “เศรษฐา 1/1” ตามที่อาจารย์วิษณุ ระบุว่าให้เรียกให้ถูกต้องตามกาลสมัย
แพทองธาร 1/1 รวม 10 พรรค+กลุ่ม สส. แปรพักตร์ 263 เสียง
นับเสียง สส.อย่างเป็นทางการ ที่สังกัดพรรค สังกัดกลุ่ม และรายชื่อ “ฝากเลี้ยง” รัฐบาลเพทองธาร 1/1 ประกอบด้วย 10 พรรคการเมือง มี สส. รวมกัน 255 เสียง แต่หากนับจำนวน สส. จากพรรคฝ่ายค้านที่มีเคยแสดงตัวผ่านกิจกรรมทางการเมืองในสภาผู้แทนและวงดินเนอร์ ให้การสนับสนุนรัฐบาลอีก 8 เสียง รวมเป็น 263 เสียง
สำหรับพรรคร่วมรัฐบาล ประกอบด้วย 10 พรรค 255 เสียง + 8 สส.ฝ่ายค้าน ดังนี้
-
- พรรคเพื่อไทย (พท.) 142 เสียง
- พรรครวมไทยสร้างชาติ (รทสช.) 36 เสียง
- พรรคกล้าธรรม (กธ.) 26 เสียง
- พรรคประชาธิปัตย์ (ปชป.) 25 เสียง
- พรรคชาติไทยพัฒนา (ชทพ.) 10 เสียง
- พรรคประชาชาติ (ปช.) 9 เสียง
- พรรคชาติพัฒนา (ชพน.) 3 เสียง
- พรรคไทรวมพลัง (ทร.) 2 เสียง
- พรรคประชาธิปไตยใหม่ (ปธม.) 1 เสียง
- พรรคไทยก้าวหน้า (ทกน.) 1 เสียง
รวมกับเสียง สส.ฝ่ายค้าน ที่สนับสนุนปีกรัฐบาล รวม 6 เสียง ในร่มเงาของพรรคกล้าธรรม จากพรรคไทยสร้างไทย ประกอบด้วย นายฐากร ตัณฑสิทธิ์ ส.ส.บัญชีรายชื่อ นายชัชวาล แพทยาไทย ส.ส.ร้อยเอ็ด นางรำพูล ตันติวณิชชานนท์ ส.ส.อุบลราชธานี นางสุภาพร สลับศรี ส.ส.ยโสธร นายหรั่งธุระพล ส.ส.อุดรธานี และนายอดิศักดิ์ แก้วมุงคุณทรัพย์ ส.ส.อุดรธานี
และจากพรรคประชาชน (ปชน.) 1 เสียง ที่ประกาศตัวยอมรับว่าเป็นงูเห่า ไม่ลาออกจากพรรคประชาชน คือ น.ส.กฤษฎิ์ ชีวะธรรมานนท์ สส.ชลบุรี และจากพรรคพลังประชารัฐ (พปชร.) 1 เสียง คือ น.ส.กาญจนา จังหวะ สส.ชัยภูมิ
ฝ่ายค้านใหม่ 232 เสียง++
จำนวนพรรคร่วมฝ่ายค้าน 6 พรรค (ตัวเลข ณ วันที่ 23 มิ.ย. 68) มี สส. ประกอบด้วย
-
- พรรคประชาชน (ปชน.) 142 เสียง
- พรรคภูมิใจไทย (ภท.) 69 เสียง
- พรรคพลังประชารัฐ (พปชร.) 19 เสียง
- พรรคเป็นธรรม (ปธ.) 1 เสียง
- พรรคเสรีรวมไทย (สรท.) 1 เสียง
- พรรคไทยสร้างไทย (ทสท.)
ระบบโควตารัฐมนตรี-คนกลาง
รัฐบาลผสมในช่วง 30 ปีที่ผ่านมา การมีพรรคร่วมรัฐบาลหลายพรรค จะมีปัญหาความไม่ลงตัวในองค์ประกอบคณะรัฐมนตรี (ครม.) นายกรัฐมนตรีต้องมาพิจารณาว่าจะจัดสรรที่นั่งรัฐมนตรีแก่พรรคใด และจำนวนเท่าใด
ตามธรรมเนียมการเมืองที่ผ่านมา ปกติจะใช้จำนวนมือ หรือที่นั่ง ของ สส.ในสภาผู้แทนราษฎร เป็นเกณฑ์ พรรคใดมี สส.มาก ก็จะได้โควตารัฐมนตรีมากตามไปด้วย
สัดส่วนที่ใช้อ้างอิงในการจัดโผของ “ผู้จัดการรัฐบาล” มักจะเป็นระบบโควตา 1 ต่อ 7 หรือ สส. 7 คน ต่อรัฐมนตรี 1 ตำแหน่ง หรือ 1 ต่อ 5 อาจารย์วิษณุเล่าว่า บางครั้งยังเคยจัดโควตาถึง 1 รัฐมนตรี ต่อ 10 สส. ก็มี
“บางครั้งนายกรัฐมนตรีอาจขอกันจำนวนรัฐมนตรีไว้จำนวนหนึ่ง คือ หักออก ไม่นับอยู่ในโควตาของพรรคใด ทำท่าเหมือนเป็นคนกลาง หรือโควตาพิเศษของนายกรัฐมนตรี ที่เหลือจึงค่อยเอาไปบวก ลบ คูณ หาร แบ่งกันในโควตาพรรคร่วมรัฐบาล” อาจารย์วิษณุเขียนไว้ในหนังสือ “โลกนื้คือละคร”
อนึ่ง ในรัฐบาล “ทักษิณ 1” เคยแต่งตั้งรัฐมนตรีโควตากลาง เช่น นายเกษม วัฒนชัย ตามรายชื่อคณะรัฐมนตรีที่ได้รับการโปรดเกล้าฯ วันที่ 17 กุมภาพันธ์ 2544
3 เดือน 25 วันหลังจากนั้น นายเกษมลาออกจากตำแหน่งรัฐมนตรีว่าการกระทรวงศึกษาธิการ และราชกิจจานุเบกษา ประกาศ วันที่ 8 มิถุนายน 2544 อย่างไรก็ตาม ในวันที่ 18 กรกฎาคม 2544 นายเกษมได้รับพระบรมราชโองการโปรดเกล้าฯให้ดำรงตำแหน่งองคมนตรี
ก่อนหน้านั้น มีรัฐมนตรีโควตากลาง อาทิ สมัยพลเอกเปรม ติณสูลานนท์ เป็นนายกรัฐมนตรี แต่งตั้ง ศุลี มหาสันทนะ, มีชัย ฤชุพันธุ์, ประจวบ สุนทรางกูร
โควตาใหม่ “แพทองธาร 1/1”
หากนับจำนวนรัฐมนตรี ในรัฐบาลแพทองธาร ที่มาจาก 6 + 1 กลุ่มการเมือง เป็นพรรคร่วมรัฐบาลแบบข้ามขั้ว มีสูตรการจั้ดตั้งรัฐบาลในโควตาเฉลี่ย 1 ต่อ 9 คือ สส. 9 คน ได้เป็นรัฐมนตรี 1 ตำแหน่ง แบ่งเป็น
- พรรคเพื่อไทย มีรัฐมนตรี 16 คน 20 ตำแหน่ง
- พรรครวมไทยสร้างชาติ มีรัฐมนตรี 4 คน 5 ตำแหน่ง
- “กลุ่มธรรมนัส” ที่แตกตัวมาจากพรรคพลังประชารัฐ ได้สัดส่วนรัฐมนตรี 3 คน 3 ตำแหน่ง
- พรรค ปชป. ได้โควตา 2 คน 2 ตำแหน่ง
- พรรคชาติไทยพัฒนา 1 ตำแหน่ง
- พรรคประชาชาติ 1 ตำแหน่ง
เมื่อสัดส่วนจำนวน สส.รัฐบาลเหลือ อย่างเป็นทางการในสภาผู้แทนราษฎร 263 เสียง ระบบโควตาที่เป็นไปได้คือ 7-8 เสียง สส. ต่อ 1 ตำแหน่งรัฐมนตรี
มีรายงานว่าพรรคประชาธิปัตย์ จะได้ตำแหน่งเพิ่ม 1 รัฐมนตรีช่วย, และกลุ่มของนายสุชาติ ชมกลิ่น จำนวนที่อ้างว่ามี 18 เสียงจากพรรครวมไทยสร้างชาติ จะได้รัฐมนตรีว่าการ 1 ตำแหน่ง และกลุ่มของ ร.อ.ธรรมนัส จากกล้าธรรม จะได้เพิ่ม 1 ตำแหน่ง เป็นโควต้าในส่วนของ สส.ฝ่ายค้านที่มาสนับสนุนรัฐบาล
แหล่งข่าวในวงน้ำชามื้อบ่าย ที่โรงแรมโรสวูด ระบุว่า “ได้แจ้งโควตาให้พรรคร่วมรัฐบาล ที่มีหัวหน้ามาปรากฏตัว ทุกพรรค ยกเว้นพรรคชาติพัฒนา ที่มี 3 เสียง และพรรคไทยสร้างไทย ที่มีแต่รายชื่อ สส. จำนวน 5-6 คน ว่าจะสนับสนุน แต่ให้ไปอยู่ในโควตาของพรรคกล้าธรรม”
กับดักในฝ่ายนิติบัญญัติ-นิติสงคราม-ม็อบ
หากการปรับคณะรัฐมนตรี ผ่านไปได้ราบรื่น งานในฝ่ายนิติบัญญัติ ที่รัฐบาลแพทองธาร 1/1 ต้องเผชิญหน้า คือ พิจารณาร่างพระราชบัญญัติ (พ.ร.บ.) ว่าด้วยการออกเสียงประชามติ, ร่าง พ.ร.บ.การประกอบธุรกิจสถานบันเทิงครบวงจร (เอ็นเตอร์เทนเมนต์คอมเพล็กซ์) ได้รับการบรรจุระเบียบวาระแล้ว
และหัวในของพรรคร่วมรัฐบาล คือ ร่าง พ.ร.บ.งบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ 2569 ซึ่งอยู่ระหว่างการพิจารณาของคณะกรรมาธิการ ตามไทม์ไลน์คาดว่าจะเข้าสู่การพิจารณาของสภาในวาระ 2-3 ประมาณกลางเดือนสิงหาคม 2568 และส่งเข้าสู่การพิจารณาของวุฒิสภาในช่วงปลายเดือนสิงหาคม 2568
ล่าสุด บ่ายวันที่ 23 มิถุนายน 2568 ศาลรัฐธรรมนูญนัดประชุมวาระพิเศษ ในวันที่ 1 กรกฏาคม 2568 มีการคาดการณ์ว่าคดีที่ศาลรัฐธรรมนูญจะพิจารณา กรณีที่นายมงคล สุระสัจจะ ประธานวุฒิสภาได้ทำหนังสือถึงศาลรัฐธรรมนูญ เมื่อวันที่ 20 มิถุนายน ขอให้วินิจฉัยตามรัฐธรรมนูญมาตรา 170 วรรค 3 ประกอบมาตรา 82
ให้ศาลวินิจฉัย ว่า ความเป็นนายกรัฐมนตรีของนางสาวแพทองธาร ชินวัตร นายกรัฐมนตรีสิ้นสุดลงเฉพาะตัว ตามรัฐธรรมนูญ มาตรา 170 วรรคหนึ่ง (4) ประกอบมาตรา 160 (4) และ (5) หรือไม่ กรณีคลิปเสียงสนทนาระหว่าง น.ส.แพทองธาร กับ สมเด็จฮุน เซน
ในคำร้องขอให้ศาลวินิจฉัย 3 ประเด็น ประกอบด้วย
- ความเป็นนายกรัฐมนตรีของนางสาวแพทองธาร ชินวัตร นายกรัฐมนตรี สิ้นสุดลงเฉพาะตัวตามรัฐธรรมนูญมาตรา 170 วรรคหนึ่ง (4) ประกอบมาตรา 160 (4) และ (5) หรือไม่
- ขอศาลรัฐธรรมนูญโปรดมีคำสั่งให้ผู้ถูกร้องหยุดปฏิบัติหน้าที่จนกว่าศาลรัฐธรรมนูญจะมีคำวินิจฉัยตามรัฐธรรมนูญ มาตรา 82 วรรคสอง พระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยวิธีการพิจารณาของศาลรัฐธรรมนูญ พ.ศ. 2561 มาตรา 71 ประกอบข้อกำหนดศาลรัฐธรรมนูญว่าด้วยวิธีพิจารณาคดีรัฐธรรมนูญ พ.ศ. 2562 ข้อ 40 (8)
- รับทราบหรืออนุญาตให้คณะสมาชิกวุฒิสภา ผู้ร้องรวมจำนวน 36 คนมอบให้พลเอกสวัสดิ์ ทัศนา สมาชิกวุฒิสภา เป็นผู้มีอำนาจยื่นคำร้องคำร้องเพิ่มเติมขอแก้ไขเพิ่มเติมคำร้องหรือคำร้องเพิ่มเติม ยื่นบัญชีระบุพยานต่าง ๆ ยื่นคำร้องคำแถลงการณ์เปิดและปิดคดี คำแถลงคำชี้แจงให้การให้ถ้อยคำหรือให้ถ้อยคำยืนยันข้อเท็จจริงหรือความเห็นและเบิกความต่อศาล ดำเนินกระบวนพิจารณา หรือดำเนินการใด ๆ ทั้งปวง ในคดีนี้ต่อประธานวุฒิสภาและศาลรัฐธรรมนูญแทนคณะสมาชิกวุฒิสภาทุกคนจนเสร็จการ
วันเดียวกันนี้ (23 มิ.ย.68) ที่ประชุมคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (ป.ป.ช.) มีมติเอกฉันท์ให้รับตรวจสอบเบื้องต้น กรณีนางสาวแพทองธาร ชินวัตร นายกรัฐมนตรี กระทำการฝ่าฝืนไม่ปฏิบัติตามมาตรฐานจริยธรรมอย่างร้ายแรง กรณีมีการเผยแพร่คลิปเสียงสนทนาระหว่างน.ส.แพทองธาร ชินวัตร นายกรัฐมนตรี กับสมเด็จฮุน เซน ประธานวุฒิสภากัมพูชา เกี่ยวกับความขัดแย้งตามแนวชายแดนไทยกับกัมพูชา
โดยให้สอบข้อเท็จจริงเบื้องต้น ถอดเทป พร้อมคำแปลภาษาต่างประเทศให้ถูกต้อง สอบพยานผู้เกี่ยวข้อง และศึกษาข้อกฎหมายในคดีนายเศรษฐา ทวีสิน อดีตนายกรัฐมนตรี ที่ศาลรัฐธรรมนูญวินิจฉัยว่าขาดคุณสมบัติการเป็นรัฐมนตรีด้วย กรณีแต่งตั้งนายพิชิต ชื่นบาน เป็นรัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรีด้วย
นอกจากนิติสงคราม 2 คดี ในองค์กรอิสระ ยังมีเกมมวลชนก่อม็อบที่รวมตัวกันหลายคณะ ภายใต้ชื่อที่เรียกว่า เครือข่ายนักศึกษาประชาชนปฏิรูปประเทศไทย (คปท.) นัดหมายชุมนุมใหม่ ที่อนุสาวรีย์ชัยสมรภูมิ วันที่ 28 มิถุนายน 2568 กดดันให้นางสาวแพทองธาร ลาออกจากนายกรัฐมนตรี
กว่าม็อบจะสุกงอม-กว่าคำวินิจฉัยของศาลรัฐธรรมนูญ-มติของ ปปช. จะออกดอก-ออกผล คาดว่าโผ ครม.แพทองธาร 1/1 คงทูลเกล้าฯ ไปแล้ว