“สามมิตร-คสช.” Effect พรรคใหญ่วงแตก-ตระกูลการเมืองแทงกั๊ก

ปรากฏการณ์ย้ายขั้ว-ย้ายข้าง พลังดูดโฟกัสไปที่อดีต ส.ส.-นักการเมืองเพื่อไทย ย้ายไปซบ “กลุ่มสามมิตร” ที่มีสุริยะ จึงรุ่งเรืองกิจ-สมศักดิ์ เทพสุทิน และสมคิด จาตุศรีพิทักษ์ รองนายกรัฐมนตรี หัวหน้าทีมเศรษฐกิจ เป็นแม่เหล็ก

ว่ากันว่า ปัจจัยเย้ายวนที่ทำให้นักเลือกตั้งค่ายสีแดง ยอมสลัดเสื้อคลุมที่มีโลโก้นายใหญ่ “ทักษิณ ชินวัตร” ติดไว้ที่หน้าอก หันมาอยู่กับกลุ่มสามมิตร ที่เป็นอีกขาหนึ่งของพรรคพลังประชารัฐ ก็คือ ปัจจัยเรื่องเงินทอง-ท่อน้ำเลี้ยง ที่ให้ค่าใช้จ่ายเป็นก้อน และค่าดูแลในการทำพื้นที่เป็นรายเดือนอีกนับแสน

นักเลือกตั้งเพื่อไทย ที่ได้น้ำเลี้ยงไม่กี่หมื่นบาทให้ทำกิจกรรมจากพรรคตลอด 4 ปี แถมน้ำเลี้ยงเคยเหือดแห้งมานานตั้งแต่ปฏิวัติ 2557 ก็ยอมถอดเสื้อคลุมทักษิณ ไปเกาะขบวนกับพวกที่พร้อมจ่ายอย่างสามมิตร-พลังประชารัฐ

ทำให้อดีตนักการเมืองฟากเพื่อไทย ยอมแปรพักตร์ไปนับสิบราย ประกอบกับความไม่ลงตัวในการแบ่งพื้นที่เลือกตั้ง

พท.ย้ายข้าง พปชร.

ที่ปรากฏข่าวคนเพื่อไทย สลับขั้วไปอยู่สามมิตร/พลังประชารัฐ (พปชร.) เช่น ปรีชา เร่งสมบูรณ์สุข และอดีต ส.ส.ในกลุ่มอีก 2 คน “เปล่งมณี เร่งสมบูรณ์สุข” อดีต ส.ส.เลย ภรรยาของ “ปรีชา” และ “วันชัย บุษบา” อดีต ส.ส.เลย ขณะที่ “สุพล ฟองงาม” อดีต รมช.มหาดไทย อดีต ส.ส.อุบลฯ ก็ชวน “สุทธิชัย จรูญเนตร” อดีต ส.ส.อุบลฯ ไปซบพรรคใหม่ แม้ว่าทาง “นิตินัย”ยังเป็นสมาชิกเพื่อไทยก็ตาม

เช่นเดียวกับตระกูล “รัตนเศรษฐ” ที่ทาง “นิตินัย” อยู่กับเพื่อไทย แต่พฤตินัยยังต้องลุ้นว่าไป-ไม่ไปอยู่กับกลุ่มสามมิตรหรือไม่ ซึ่งกลุ่มสามมิตรยิงตรงไปเมืองย่าโม นครราชสีมา เจรจากับ “วิรัช รัตนเศรษฐ” ให้มาเข้ากลุ่มสามมิตร ซึ่งตามคะแนนเลือกตั้ง ส.ส.ปี 2557 ที่เป็นโมฆะไป ตระกูลรัตนเศรษฐกวาดเก้าอี้ ส.ส.ไปถึง 3 เขตเลือกตั้ง คือ ทวิรัฐ เขต 4-อธิรัฐ เขต 8-ทัศนียา เขต 9 และ “วิรัช” ที่ลงบัญชีรายชื่อเพื่อไทย

ส่วนรายของ “แรมโบ้อีสาน” สุภรณ์ อัตถาวงศ์ อดีตแกนนำเสื้อแดง ก็ยอมรับว่าแปรพักตร์มาอยู่พลังประชารัฐเรียบร้อยแล้ว

ส่วนอีกขั้วหนึ่งที่ยัง “แทงกั๊ก” ก็คือตระกูล “สะสมทรัพย์” บ้านใหญ่นครปฐม ที่ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา และคณะยกขบวนไปออกรอบตีกอล์ฟกระชับมิตรการเมือง ที่สนามกอล์ฟของค่ายสะสมทรัพย์ จนแกนนำเพื่อไทยต้องยกก๊วนไปตีกอล์ฟ “ดูดกลับ”

ใช่ว่าพรรคเพื่อไทยจะโดนดูดฝ่ายเดียว แต่ยังได้ ส.ส.-อดีตรัฐมนตรีจากพรรคอื่น ย้ายสลับขั้ว มาเสียบแทนพื้นที่ที่ยังเป็นจุดอ่อน

“นคร” พเนจรซบเพื่อไทย

ที่ย้ายข้างแล้วมาสร้างปรากฏการณ์ คือกรณี “นคร มาฉิม” อดีต ส.ส.พิษณุโลก พรรคประชาธิปัตย์ ย้ายขั้วไปอยู่กับศัตรูการเมือง “เพื่อไทย”

แถมเอ่ยปากขอขมา “ทักษิณ-ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร” 2 อดีตนายกฯผู้มีบารมีเหนือพรรคเพื่อไทย ที่เคยต่อสู้กันจนเกิดรัฐประหาร พร้อมกระทบชิ่งมายังบ้านเก่าว่าเป็นต้นเหตุทำให้บ้านเมืองบอบช้ำ

“ผมขอโทษท่านและน้องสาวท่านด้วยนะครับที่เคยต่อสู้กับท่าน แต่เมื่อความจริงปรากฏ ความอยุติธรรมและเผด็จการปกครองครอบงำประเทศ ประชาชนเดือดร้อน ทุกข์ยากลำบาก สิทธิเสรีภาพสูญสิ้น ชาติบ้านเมืองของเราบอบช้ำ เข้าขั้นวิกฤต”

“ผมจึงขออนุญาตมาร่วมอุดมการณ์เดียวกันกับท่าน ขอร่วมสู้กับท่านและเหล่าวีรชนฝ่ายประชาธิปไตย เพื่อนำพาประเทศไทยของเราให้ข้ามพ้นจากความขัดแย้ง ข้ามพ้นจากยุคมืดของเผด็จการ ที่กดขี่ข่มเหงพวกเรา เดินทางไปสู่ระบอบประชาธิปไตย สร้างความเสมอภาค ความเจริญรุ่งเรือง เช่นอารยประเทศ”

เปิดฉากสงครามน้ำลายให้มวลหมู่ประชาธิปัตย์ออกมารุมสกรัม “นคร” พร้อมเปิดศึกสงครามน้ำลายข้ามพรรค ลามไปสู่การเตรียมแฉข้อมูลกันในศาล

เส้นทางของ “นคร” ในช่วงก่อนการรัฐประหาร ได้ย้ายจากพรรคประชาธิปัตย์ หลังรัฐบาลเพื่อไทยยุบสภา มาอยู่กับพรรคชาติพัฒนา ราว 20 วันถัดมา พร้อมลงเลือกตั้ง 2 ก.พ. 2557 ซึ่งการเลือกตั้งครั้งนั้นโมฆะ และภายหลัง “นคร” ก็ลาออกจากชาติพัฒนาในช่วง 7 เม.ย. 2559

ก่อนปรากฏตัวทางการเมืองที่พรรคเพื่อไทยเป็นครั้งแรก เมื่อวันที่ 4 เม.ย.2561 ในงานยืนยันความเป็นสมาชิกพรรค-รดน้ำสงกรานต์ พล.ต.ท.วิโรจน์ เปาอินทร์ รักษาการหัวหน้าพรรค สมชาย วงศ์สวัสดิ์ อดีตนายกฯ และเสนาะ เทียนทอง ประธานที่ปรึกษาพรรค

จากนั้น “นคร” หายตัวไป 2 เดือนเศษ กระทั่งเกิดปรากฏการณ์ขอขมา “ทักษิณ-ยิ่งลักษณ์”

ชทพ.เลือดไหลหลายพื้นที่ 

นักการเมืองระดับ “อดีตรัฐมนตรี” ที่มาซบพรรคเพื่อไทยอีกคน คือ “ประดิษฐ์ ภัทรประสิทธิ์” อดีต รมช.คลัง จากชาติไทยพัฒนา (ชทพ.) ซึ่งมาเป็นแพ็กคู่กับน้องชาย “วินัย ภัทรประสิทธิ์” อดีต ส.ส.พิจิตร ที่ลาออกจากชาติไทยพัฒนาตั้งแต่ปฏิวัติ ผ่านการทาบทามของ “สุนีย์ เหลืองวิจิตร” อดีตเลขาธิการพรรคเพื่อไทย

และในช่วงใกล้วันเกิด “ทักษิณ” มีข่าวว่าทั้ง “ประดิษฐ์-วินัย” เดินทางไปเจรจาการเมืองกับนายใหญ่เพื่อไทย ที่ห้างแฮร์รอดส์ กลางกรุงลอนดอน ในช่วงสัปดาห์ที่ผ่านมา

ซึ่งข่าวดังกล่าวได้รับการ “คอนเฟิร์ม” จาก “สามารถ แก้วมีชัย” หัวหน้าทีมภาคเหนือเพื่อไทย ยืนยันว่า ประดิษฐ์-วินัย มาลงสมัครเลือกตั้งในนามพรรค “ค่อนข้างชัวร์”

“สามารถ” กล่าวว่า การได้นายประดิษฐ์ และนายนคร ประชาธิปัตย์เข้ามา จะทำให้ภาคเหนือตอนล่างที่เรามีอดีต ส.ส.ไม่ครบแข็งแรงขึ้นแน่นอน

“ยืนยันไม่มีอดีต ส.ส.ภาคเหนือของพรรคเพื่อไทยออกจากพรรค และอดีต ส.ส.พื้นที่เดิมยังอยู่กันครบหมด เว้น จ.แม่ฮ่องสอน จังหวัดเดียวที่พรรคไม่มี ส.ส. แต่มีคนที่พร้อมลงทั้งอดีตผู้สมัครของพรรคและผู้สมัครหน้าใหม่ เพียงแต่ช่วงเลือกตั้งอาจจะต้องทำโพลถามประชาชน”

ขณะที่ชาติไทยพัฒนา จ.อุบลราชธานี ก็มีอดีต ส.ส.ย้ายข้างไปซบเพื่อไทย ทั้งนี้ แม้เพื่อไทยจ่อจะเสีย “สุพล-สุทธิชัย” ไปอยู่สามมิตร/พลังประชารัฐ แต่เพื่อไทยได้ทาบทาม “รัฐกิตติ์ ผาลีพัฒน์” จากชาติไทยพัฒนา ซึ่งเคยชนะเลือกตั้งในเขตเลือกตั้งที่ 5 จ.อุบลฯ รอบล่าสุด 2 ก.พ. 2557 โดยชนะ “สุทธิชัย” เจ้าของพื้นที่เดิมไปได้ ซึ่ง “รัฐกิตติ์” ตอบตกลง เพียงแต่มีข้อแม้ว่าขอลงเขต 5 ตามเดิม ซึ่งแกนนำเพื่อไทย-นายใหญ่ทักษิณ ก็เห็นชอบตามนี้

ชาติไทยพัฒนา ยังเสียขุนพลหลัก ๆ อีก เช่น “ศิริวัฒน์ ขจรประศาสน์” อดีต ส.ส.พิจิตร ชาติไทยพัฒนา ที่ประกาศว่าจะมาซบพรรคภูมิใจไทย ซึ่ง “เสี่ยหนู”-อนุทิน ชาญวีรกูล หัวหน้าพรรค คอนเฟิร์มว่าเข้าพรรคสีน้ำเงิน ในศึกเลือกตั้งปี 2562

ไม่ใช่แค่พรรคเพื่อไทยที่ “บาดเจ็บ” จากพลังดูด แต่ “ชาติไทยพัฒนา” ที่เป็นพรรคไร้ผู้นำที่มี “บารมี” กล้าแกร่งในสังเวียนการเมืองก็บาดเจ็บไม่แพ้เพื่อไทย นับตั้งแต่สิ้น “บรรหาร ศิลปอาชา” ยังเหลือแค่ตระกูลปริศนานันทกุล-นิกร จำนง-จองชัย เที่ยงธรรม ที่ยังเป็นเสาค้ำยันพรรค

การสลับขั้ว-ข้างการเมือง ยังคงเป็นเพียง episode แรกเท่านั้น เพราะยังมีอีกหลายยกกว่าจะถึงศึกเลือกตั้ง

กระแสน้ำการเมืองยังคงเชี่ยวกราก ยังไม่นิ่ง ยังไม่ตกตะกอน หลายตระกูลการเมืองอย่าง “สะสมทรัพย์-รัตนเศรษฐ” หรือแม้แต่ “ติยะไพรัช” ที่ยังอยู่ระหว่าง “แทงกั๊ก” จนกว่าสถานการณ์จะเข้าด้ายเข้าเข็ม