ชัยเกษม : ทางรอดเกมยุบพรรค ปลดแคมเปญ “ทักษิณคิด…เพื่อไทยทำ”

สัมภาษณ์พิเศษ

ณ นาทีนี้คู่แข่งฝ่ายตรงข้ามพล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา กำลังอยู่ในเกมอันตราย

อันตรายจากพลังดูดทางการเมือง กวาดกลืน ส.ส.ให้ย้ายข้างไปหนุนข้างพรรคนอมินีทหาร

อันตรายจากกฎกติการัฐธรรมนูญ-กฎหมายลูก-กฎหมาย คำสั่ง คสช.ที่ใช้จัดการกับพรรคการเมือง ซึ่งพรรคเพื่อไทยในฐานะพรรครัฐบาลที่ถูกรัฐประหารถูกกำหนดให้อยู่คนละฝั่งกับ คสช.โดยอัตโนมัติ

ก่อนฤดูการเลือกตั้งมาถึง คดีความการเมืองหมายหัวเพื่อไทยจึงทยอยประดังเข้ามา โดยมีชื่อ “ทักษิณ ชินวัตร” อดีตนายกรัฐมนตรี เป็นเงื่อนไขพิเศษ-ล่อฟ้าให้กลไก คสช.คาดโทษ

ทั้งกรณีที่คณะกรรมการการเลือกตั้ง (กกต.) ตั้งทีมสอบปม “ทักษิณ” วิดีโอคอลมายังแกนนำพรรค เข้าข่ายขัดกฎหมายพรรคการเมือง โทษถึงยุบพรรค หรือปมที่ 8 แกนนำเพื่อไทยโดนตั้ง 4 ข้อหา 1.ฝ่าฝืนประกาศ คสช.ที่ห้ามประชุมพรรคการเมือง 2.ฝ่าฝืนคำสั่ง คสช.ที่ห้ามชุมนุมทางการเมือง 3.พ.ร.บ.คอมพิวเตอร์ และ 4.ยุยงปลุกปั่น

“ประชาชาติธุรกิจ” สัมภาษณ์พิเศษ “ชัยเกษม นิติสิริ” อดีต รมว.ยุติธรรม ในรัฐบาลยิ่งลักษณ์ ชินวัตร ในฐานะทีมกฎหมายพรรคเพื่อไทย เขาเคยเป็นอัยการสูงสุดในช่วงรัฐบาลคณะมนตรีความมั่นคงแห่งชาติ (คมช.) ที่เข้ามายึดอำนาจพรรคไทยรักไทยเมื่อ 11 ปีก่อนถึงทางรอดไม่ให้พรรคเพื่อไทยถูก “ตัดตอน” ก่อนเลือกตั้ง

แย้งปม “ทักษิณ” ครอบงำ พท.

“ชัยเกษม” เริ่มต้นเลาะปมข้อกล่าวหา “ทักษิณ” ครอบงำเพื่อไทย ว่า “เนื้อหาไม่มีอะไรที่แสดงว่ามีการครอบงำ เพราะเป็นการพูดคุยเรื่องปกติทั่ว ๆ ไป และการที่จะครอบงำหรือชี้นำต้องเป็นเรื่องเป็นราวกว่านี้ และทำต่อกรรมการบริหารพรรค หรือผู้ที่เกี่ยวข้องในการบริหารพรรค ไม่ใช่ท่านทักษิณพูดคุยกับใครแล้วจะเข้าครอบงำไปหมด”

“การครอบงำต้องหาหลักฐานให้ได้ว่าท่านสั่งมาอย่างนู้นอย่างนี้ แล้วพรรคทำตาม หรือแม้แต่เลือกกรรมการบริหารพรรค หัวหน้าพรรคท่านก็ต้องบอกว่าเอาคนนี้ ถ้าสั่งมาถึงขนาดนี้ก็อาจเป็นการครอบงำ แต่เชื่อว่าไม่สามารถสั่งได้อยู่แล้ว เพราะพรรคมีระเบียบของพรรค การปล่อยให้บุคคลภายนอกสั่งการอย่าว่าแต่คุณทักษิณเลย คนอื่นก็สั่งไม่ได้ และตอนนี้ยังไม่เปิดช่องให้พรรคการเมืองทำกิจกรรมได้ การครอบงำก็ยิ่งไม่เกิดขึ้น”

ตื้นเกินไปที่จะยุบพรรค

กระนั้นมีภาพของ ส.ส.-คนในพรรคโคจรไปหา “ทักษิณ” ทวงถามเรื่องการตั้ง “หัวหน้าพรรค” ตัวจริง สู้ศึกเลือกตั้ง จะถูกมองว่าเป็นการ “ครอบงำ” ได้หรือไม่ “ชัยเกษม” เห็นแย้งว่า เป็นข้อกล่าวหาที่ตื้นเกินไป

“มันพิสูจน์อะไรไม่ได้ว่าการที่ไปพบไปหาเพื่อให้ท่านชี้นำหรือสั่งการ ตอนนี้ไม่มีอะไรที่ท่านจะมาสั่งการพรรคได้ ถ้าจะมีหัวหน้าพรรค มีใครลง ส.ส.ก็ต้องผ่านในรูปกระบวนการของพรรค การเลือกตั้งเป็นเรื่องของสมาชิกว่าจะเอาใครเป็นหัวหน้าพรรค ประเด็นนี้จึงตื้นเกินไปที่จะกล่าวหาท่านว่าเพียงแค่พูดคุยแล้วเป็นการชี้นำ การที่ ส.ส.ไปพบอาจเป็นเพราะท่านเป็นผู้ที่ได้รับการเคารพนับถือจากสมาชิกพรรค ไม่มีอะไรที่จะไปส่อหรือสื่อว่าเป็นการชี้นำ เรื่องนี้ว่างเปล่าจริง ๆ ถ้าจะตั้งข้อหาไปสู่การยุบพรรค ฝ่ายกฎหมายไม่ได้กังวล”

ทำให้เขาอ่านเจตนา ทิศทางการวินิจฉัยของ กกต.ในการตั้งคณะกรรมการขึ้นมาพิจารณาเรื่องนี้ว่า “เต้นไปตามผู้มีอำนาจในบ้านเมืองเท่านั้น ถ้าไม่ทำตามก็กลายเป็นเรื่องเพิกเฉย กกต.ก็ต้องทำอะไรบ้าง แต่จะได้แค่ไหนก็อีกเรื่อง”

8 แกนนำเสี่ยงคุก 6 เดือน

หากสิ่งที่ “ชัยเกษม” กังวลมากกว่า คือ กรณีที่แกนนำพรรค 8 คนถูกตั้งข้อหาหลังเตรียมแถลงข่าวประจานผลงาน 4 ปีของ คสช.

“ความกังวลมีอยู่อันเดียวในบ้านเมืองที่ปกครองโดยคณะปฏิวัติ คือการใช้กระบวนการยุติธรรมเพื่อประโยชน์ทางการเมืองน่ากลัวมาก ไม่ใช่น่ากลัวสำหรับคนที่โดนกระบวนการเหล่านี้เข้ามาดำเนินการเพียงอย่างเดียว แต่น่ากลัวที่ทำให้คนในกระบวนการยุติธรรมเสียนิสัย ว่ามีคนชี้นำ สั่งการได้ ซึ่งผมไม่ได้มีหลักฐานชัดเจน มีแต่ความเชื่อ”

“ในฐานะที่ผมอยู่ในกระบวนการกฎหมายมาตลอด เห็นการใช้ดุลพินิจที่ไม่ค่อยชอบธรรมไม่ว่าชั้นไหนก็ตาม การใช้กฎหมายที่ผู้บริหารประเทศบอกว่าใช้กฎหมาย แต่กฎหมายท่านไม่รู้เขียนเหมือนผมหรือเปล่า เพราะมาตรฐานไม่เหมือนกัน เพื่อไทยทำไม่ได้ คนอื่นทำได้หมด อย่างนี้จะกฎหมายหรือ ผมเป็น 1 ใน 8 คน และเคยเป็นอัยการสูงสุด ถ้ามีรายละเอียดเผยแพร่ไปทั่วโลกว่าผมโดนด้วยข้อหานี้และด้วยการกระทำลักษณะนี้ ผมว่าต่างประเทศก็นั่งหัวเราะเอา แต่ในเมืองไทยไม่แน่ สิ่งที่เกิดขึ้นเมื่อสอบไปแล้วในที่สุดผมอาจจะผิดก็ได้ ติดคุกอย่างมากก็ 6 เดือน”

“ชัยเกษม” ขยายความสิ่งที่ “เพื่อไทยทำไม่ได้ คนอื่นทำได้หมด” ว่า “ง่าย ๆ เลย หาว่าชุมนุมทางการเมือง การที่พรรคเพื่อไทยขึ้นไปแถลงการณ์ ถามว่าสิ่งที่พูดเป็นเรื่องการเมืองไหม ก็เกี่ยวบ้างเหมือนกันแต่ไม่ได้เป็นการชุมนุมทางการเมืองชัดเจน พล.อ.ประวิตร (วงษ์สุวรรณ รองนายกฯ และ รมว.กลาโหม) บอกว่า ถ้าไม่ด่ารัฐบาลก็ทำได้…เอ้า ข้อกฎหมายเป็นอย่างนั้นหรือ แต่ถ้าด่ารัฐบาลเป็นการเมือง แล้วรัฐบาลเอง ไป ครม.สัญจรที่บุรีรัมย์ การเมืองล้วน ๆ เลย พูดจาการเมือง เกิน 5 คนแน่นอน ถามว่าผิดไหม…ไม่ผิด”

“พรรคการเมืองต่าง ๆ ที่ถูกจำกัดในการหาเสียง หาสมาชิกพรรค แต่คนที่เตรียมจะเป็นพรรคการเมือง ทำได้ทุกอย่าง ไปพูด ไปดูด ถามว่าการเมืองไหม…ใช่ เกิน 5 คน แต่ไม่มีอะไรเกิดขึ้นในบ้านเมือง เอา 2 ตัวนี้มาเทียบกันแล้วจะว่าอย่างไร”

เมื่อพรรคเพื่อไทยเสียเปรียบกติกา-รัฐธรรมนูญ และถูกล็อกด้วยกฎหมาย เกมนับถอยหลังเลือกตั้งเพื่อไทยจะเดินอย่างไร “ชัยเกษม” ตอบทันทีว่า “เวลานี้พึ่งประชาชนอย่างเดียว”

“เพราะใช่ว่าประชาชนทุกหมู่เหล่ามีความสุขหมด ลองไปสัมผัสข้างล่างก็จะเห็นว่าคนที่รู้สึกว่าชีวิตไม่ได้ดีขึ้น แถมยังเลวลงหลังปฏิวัติมีมากขึ้น วัดกันด้วยความรู้สึก เพื่อไทยยืนหยัดไม่เอาเผด็จการ ไม่เอาปฏิวัติ ดังนั้น สิ่งนี้ก็จะตรงใจประชาชนจำนวนหนึ่ง เป็นเรื่องของประชาชนตัดสินใจ”

เสี่ยงถูกตัดตอน

แต่ก่อนจะถึงการเลือกตั้ง พรรคเพื่อไทยอาจถูก “ตัดตอน” ก่อนหรือไม่ “ชัยเกษม” กล่าวว่า “ก็มีโอกาสทั้งนั้น เพียงแต่เหตุผลในการตัดตอนจะมากน้อยแค่ไหน ตอนนี้ก็เริ่มมีคดีโยนลงไปบ้าง เท่ากับเตือนว่าอย่าทำอะไรที่ คสช.ไม่ชอบใจมากนัก เพราะกฎหมายผมเป็นคนออก เหมือนที่บิ๊กป้อม (พล.อ.ประวิตร) พูด ด่ารัฐบาลโดนแน่ ถ้าไม่ด่ารัฐบาลก็ไม่เป็นอะไร”

“ทางเลี่ยงที่จะไม่ทำให้พรรคเพื่อไทยถูกตัดตอน คือ ระวังข้อกฎหมาย อย่าไปเข้าข้อกฎหมายที่จะทำให้ถูกเล่นงาน ถ้ามีอะไร 20-30% เกี่ยวข้องที่ทำให้เกิดยุบพรรคได้ เขาก็ต้องหาเหตุจนกระทั่งไปสู่การยุบพรรคได้”

ทว่า คำที่แสลงหูของผู้มีอำนาจ คือ คำว่า “ทักษิณ” แต่ชื่อนี้กลับมีความสำคัญกับพรรคเพื่อไทยในการทำการเมือง ซึ่ง “ชัยเกษม” เชื่อว่า จะไม่เป็นเหตุแห่งการยุบพรรค

“จะเอาอะไรมาตั้งเป็นประเด็น ถ้ามี 20-30% เขาก็เริ่มแล้ว ตอนนี้เพียงแค่แตะ ๆ ไว้เท่านั้น แค่ตรวจสอบ แต่ไม่เป็นไร ยุบก็เลิก ตั้งใหม่ เผลอ ๆ ยุบพรรควันนี้ พรุ่งนี้หาเสียงได้เหมือนกับพรรคการเมืองใหม่เลย แล้วบอกว่าเราคืออดีตพรรคเพื่อไทย”

“ฝ่ายที่จะล้มพรรคเพื่อไทยก็ต้องคิดหนักเหมือนกัน ต้องทำอะไรมีหลักมีเกณฑ์ตามสมควรให้เข้าข้อกฎหมาย และคิดว่าเพื่อไทยไม่ทำอะไรที่ฝ่าฝืนกฎหมายอยู่แล้ว”

“ชัยเกษม” เน้นย้ำว่า ช่วงหาเสียง-ไม่ควรเอานโยบายไปคลุกกับชื่อ “ทักษิณ”

“เรื่องของการก้าวก่าย ครอบงำ อยู่ที่การปฏิบัติของท่านทักษิณด้วย และการยอมรับของคนในพรรคด้วย แต่ถ้าการเอานโยบายที่เคยทำในอดีตมาใช้ เพราะท่านทักษิณเป็นคนคิด เราต้องให้เครดิตกับท่านว่าเราจะทำนี้ต่อไป จะมาบอกว่าท่านครอบงำได้อย่างไร”

เมื่อชื่อ “ทักษิณ” เป็นแบรนดิ้งเพื่อไทย จะกันชื่อคนคนนี้ออกไปได้อย่างไร

เขากล่าวว่า “อ้างในสิ่งที่ท่านทำในอดีตโอเค แต่ถ้าอ้างในปัจจุบันก็สุ่มเสี่ยงว่าไปพูดคุย ส่วนทางนู้นบอกว่าต้องทำนโยบายอย่างนั้นอย่างนี้ ไม่ควรทำ เพื่อไทยคิดเองได้ เรื่องพวกนี้ คนในพรรคไม่ใช่มีน้อย ๆ ฝีมือสุดยอดทั้งสิ้น”

พรรคเพื่อไทยยังอยู่ในแดนอันตราย ต้องฝ่ากับดักลากสังขารจนถึงการเลือกตั้ง

ส่วนชื่อ “ทักษิณ” ยังคงเป็นดาบ สองคมของเพื่อไทย ที่ผู้มีอำนาจไม่อยากได้ยิน