‘เอม’ เปิดใจ ข่าวคุณพ่อ(ทักษิณ) ไม่บังคับลูกเขยเล่นการเมือง

ในโอกาสที่ บริษัท เอสซี แอสเสท คอร์ปอเรชั่น จำกัด (มหาชน) พาสื่อมวลชนแถลงข่าว ที่จ.เชียงใหม่ “พิณทองทา ชินวัตร คุณากรวงศ์” หรือ คุณเอม บุตรสาวคนโตอดีตนายกรัฐมนตรี “ทักษิณ ชินวัตร” ถือโอกาสติดตามสามี “ณัฐพงศ์ คุณากรวงศ์” ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บ.เอสซีฯไปด้วยนั้น “มติชนออนไลน์” จึงได้โอกาสสัมภาษณ์

แบ่งเวลาทำงานและครอบครัวอย่างไร

ช่วงแรกจะให้เวลากับลูกเป็นหลัก โดยเฉพาะในช่วง 0-3 ขวบเพราะมองว่าเป็นการปูพื้นฐานการเติบโตในอนาคตเลยโฟกัสไปที่ลูกๆก่อน เป็นความผูกพันที่เขาจะได้รับจากเรา แม้ว่าเขาอาจจำไม่ได้แต่ความผูกพันมีอยู่ แต่ตอนนี้ลูกๆทั้ง3 เริ่มโตขึ้นคือ 4 ขวบและ 2 ขวบ ดังนั้นจึงกลับมาทำงานด้วย โดยแยกกันทำกับสามี (นายณัฐพลศ์ คุณากรวงศ์) โดยสามีทำเอสซี ขณะที่ตัวเองจะทำนอนลิตเต็ดทั้งหมด คือธุรกิจบริการ คือโรงแรมและสนามกอล์ฟเป็นหลัก โดยมี3 ธุรกิจ คือสนามกอล์ฟ์อัลไพน์ที่เชียงใหม่และที่กรุงเทพ โรงแรมที่เขาใหญ่ คือเทมส์ วัลเล่ย์ เขาใหญ่ ซึ่งทำร่วมกับน้องสาว (อุ๊งอิ๊ง) ทำกันเองโดยไม่ได้ใช้เชน เป็นการลองสนาม และโรงแรมเอสซีปาร์ค และในไตรมาส 4 ปีนี้จะเปิดอีก 1 แห่งคือ โรงแรมโรสวูด ในกทม.ในนามบริษัท เรนด์ จำกัด โดยอันนี้ใช้เชนบริหารเพราะอยู่ในทำเลที่เป็นไพร์มแอเรีย เป็นการเรียนรู้กันไป ซึ่งสเป็คเขาสูงมาก

“อย่างโรงแรมใหม่จะพยายามเปิดให้ได้ปลายปีนี้ เพื่อให้ทันกันกับงานแต่งงานของน้องสาวในต้นปีหน้า มีประมาณ 160 ห้อง เป็นโรงแรมระดับ 5 ดาว โครงการดังกล่าวมีมูลค่าประมาณ 2,000 ล้านบาท เราจtพยายามเปิดก่อนงานแต่งของอุ๊งอิ๊ง”

แบ่งเวลาให้ลูกๆอย่างไร

ในฐานะที่เป็นเวอร์คกิ้งมัม ใน 1 สัปดาห์จะให้กับงาน60% ส่วนที่เหลือ40% ให้เวลากับลูกๆและครอบครัว เช่นถ้าวันไหนทำงานเต็มวัน ในวันถัดไปก็จะให้เวลาลูกๆครึ่งวัน เพราะมองว่าวัยเด็กเป็นวัยสำคัญของชีวิต ดังนั้นต้องปูพื้นฐานตั้งแต่ตอนนี้ แม้โตขึ้นอาจจำไม่ได้ แต่เชื่อว่าความผูกพันยังมีอยู่ ก็พยายามปรับไปเรื่อยๆ แล้วแต่ช่วงไหนงานหนักงานน้อย

นอกจากอยู่กับลูกๆแล้วยังต้องออกกำลังกายด้วย โดยเมื่อก่อนอาจจะไปยิม แต่ใช้เวลานานมากไปกลับรวมแล้วไม่ต่ำกว่า3 ชั่วโมง สุดท้ายเลยใช้เวลาที่บ้านในการออกกำลังกายอย่างน้อยสัปดาห์ละ 3-4 วัน เพราะได้อยู่กับลูกๆ โดยเล่นกีฬาหลายอย่างโดยเลือกเอาจากยูทูป ส่วนใหญ่จะเลือกออกตอนเช้า หรือหากไม่ได้จริงๆ ก็จะใช้เวลาช่วงเย็น เราต้องการแข็งแรง

ส่วนการส่งลูกๆไปโรงเรียนนั้นเดิมตนและสามีจะไปด้วยกัน แต่ตอนหลังสามีจะส่งคนเดียวเพราะหากตนไปส่งด้วยเด็กๆจะติดตนมากกว่าเลยให้สามีไปส่งคนเดียวจะได้มีเวลาพูดคุยกับลูกๆได้เต็มที่ส่วนตอนเย็นตนจะไปรับคนเดียวและจากนั้นจะให้เวลาอยู่กับลูกๆเต็มที่ ไปพบคุณครู พาลูกไปเรียนบัลเล่ย์

นอกจากนี้แล้วยังมีธุรกิจอื่นที่สนใจอีกหรือไม่

ก็มีแต่ยังไม่ชัดเจนว่าเป็นตัวไหน เพราะมีที่ดินอยู่หลายแปลงทั้งที่ซื้อไว้นานแล้วและที่เพิ่งซื้อใหม่โดยกำลังดูว่าแปลงไหนเหมาะกับอะไร ก็กำลังดูว่าหากเหมาะกับการขายก็เอามาทำขาย หรือหากเหมาะกับอะไรก็ทำอันนั้นก็ไม่ได้ฟิกว่าจะต้องอย่างนั้นอย่างนี้

โดยส่วนตัวแล้วสนใจธุรกิจประเภทไหนเป็นพิเศษ

โดยส่วนตัวแล้วสนใจเรื่องการลงทุน คือเรื่องตลาดทุน ซึ่งมีการลงไว้บ้าง เป็นการดูแลพอร์ตมากกว่าคือไม่ถึงกับนักลงทุน ดูแลควบคู่ไปกับงานหลัก

แบ่งการทำงานกับน้องสาว(คุณอุ๊งอิ๊ง) อย่างไร

กับน้องก็ยังทำงานร่วมกันอยู่ ชอบที่จะทำงานร่วมกัน โดยอุ๊งอิ๊งจะดูแลเรื่องโอเปอเรชั่นให้มากกว่า อย่างเอมเซ้ทมาแล้ว อิ๊งก็จะเข้าไปดูให้ มีอะไรก็เสนอมาแล้วมาดูร่วมกัน ทำด้วยกันตลอด ทำงานด้วยกันมีความมั่นใจกว่า ทำอย่างนี้มานานแล้ว

ข่าวว่าคุณพ่อ (ทักษิณ) จะขอให้สามีเล่นการเมืองจะเล่นหรือไม่

เรื่องนี้เป็นข่าวลือ ไม่ได้คิดลึกว่าจะเอาอย่างไรกับเรื่องนี้ ซึ่งคุณพ่อเข้าใจว่าเราเป็นนักธุรกิจทำงานคนละอย่าง คุณพ่อก็ไม่เคยขอ ไม่มีเรื่องนี้ค่ะยืนยันเลย ไม่มีเรื่องนี้ในหัวค่ะ ส่วนตัวเอมก็สนใจระดับหนึ่ง สนใจแค่ว่ามันจะกระทบอะไรเราบ้าง

เอมไม่ได้มีความสนใจในด้านนี้ เอมเชื่อว่าคนเราทำอะไรด้วยใจรักความชอบในงาน ไม่ใช่ว่าจะให้ทำอันนี้ก็ต้องทำ ซึ่งมองว่ามันไม่ได้เพราะใจไม่รัก

ส่วนถ้าคุณพงศ์จะลงเล่นการเมืองสนับสนุนหรือไม่นั้น ก็อยู่ที่ว่าลงเพราะอะไร ถ้าหากจะลงเพราะเป็นหน้าที่เค้ามันไม่ใช่เอมพูดชัดเจน คนเราต้องมีใจมีความอยากต้องมีแพทชั่น หากไม่มีเลยมันก็ยากทำอะไรมันก็จะสำเร็จยาก

จัดเวลาชีวิตส่วนตัวอย่างไร

มีการคุยกันว่าจะต้องมีทริปที่เป็นของ 2 คนบ้าง เพราะพอเราอยู่ยุ่งงานเยอะ ลูก และถึงจะเป็นเรา เลยมาพูดกันว่ามันต้องมีบ้าง เพราะเขาก็อยากเห็นเราพักจริง ๆ แม้ว่าเวลาเราเลี้ยงลูกเราจะมีความสุข สนุก แต่คุณพงศ์คงมองอีกอย่างหนึ่งในมุมของเค้า โดยคุยกันว่าในแต่ละปีจะไปปีละ 2 ครั้ง แต่เป็นทริปที่ยาวประมาณ 1-2 อาทิตย์ 10 วันประมาณนี้ปีละครั้ง

ส่วนจะเลือกไปที่ไหนนั้นก็แล้วแต่คุณพ่อ(ทักษิณ) ว่าช่วงนั้นคุณพ่อจะอยู่ที่ไหน แต่ส่วนใหญ่เราชอบไปญี่ปุ่น เพราะชอบอาหาร วัฒนธรรมที่มีเสน่ห์ ไม่ต้องเหนื่อยมาก เรารู้อยู่แล้ว เรา 2 คนชอบทานอาหารญี่ปุ่นเหมือนกัน และก็ชอบคาเฟ่ ก็ไปนั่งทานกาแฟ เอาไอแพดไปนั่งดูงานนิดหน่อย ชั่วโมง 2 ชั่วโมงจากนั้นก็ไปเดินเล่น ก็เปลี่ยนไปเรื่อยๆ ตอนนี้คุณพงศ์เริ่มชอบทานกาแฟที่แปลกๆก็เลยต้องหาร้านไปเรื่อยๆ คล้ายๆรีเซิร์ฟบาร์ของสตาร์บัค คือไม่ใช่กาแฟแบบธรรมดา

ชีวิตตอนนี้ก็แฮปปี้ดี?

ตอนนี้ชีวิตก็แฮปปี้ดี ของแบบนี้มันอยู่ที่ใจ อยู่ที่มุมมอง และความคิดของเรา หากมองที่มุมที่เครียดและมุมเรื่องที่เราเจอก็ 10 ปีแล้ว เราไม่ได้ออกไปไหนเลย แล้วมันกำหนดชีวิตตัวเองไม่ได้ เหมือนเราต้องให้การเมืองกำหนดชีวิตเรา เอมคิดว่าเวลามันผ่านไป

10ปีที่แล้วกับปัจจุบันต่างกันแค่ไหนในเรื่องการใช้ชีวิตความรู้สึก

การใช้วิตก็คล้ายๆ เดิมอาจโตขึ้น เป็นเรื่องการโตขึ้นมากกว่า เพราะ 10 ปีที่แล้วยังไม่ได้แต่งงานก็อาจจะมองโลกอีกอย่างหนึ่ง พอเราแต่งงานมีชีวิตคู่ ก็นิ่งขึ้น ไม่ต้องสับสน พอทำงานก็โอเค พอมีลูกเราก็เปลี่ยนไปเยอะ เพราะเราต้องมองอีกแบบในความเป็นแม่ เราเข้าใจมากขึ้น มีความรับผิดชอบ มีอะไรที่ต้องทำ เรามองคนเปลี่ยนไป เอมเข้าใจคนมากขึ้น พยายามเข้าใจดีขึ้น ใจเย็นมากขึ้น อะไรที่วางได้ก็วาง

แต่ละปีจะพาหลานๆ ไปหาคุณตากี่ครั้ง

พยายามพาไป 2 เดือนครั้ง ต้องเจอกัน 1 ครั้ง เพราะเรารู้ว่าคุณตาเวลาเจอหลานก็จะมีกำลังใจมีความสุข หลานเขาก็บริสุทธิ์ แต่ตอนหลัง ๆ เริ่มโตก็เริ่มถามว่าทำไมคุณตาไม่กลับกับเรา ทำไม่เจอคุณตาที่เมืองไทย ทำไมคุณยายไม่เห็นมากับเรา

เราก็ตอบหลายสเต็ป จะไม่ปิดลูก ๆ เรามีทักษะว่าจะเข้าใจระดับไหนแค่ไหน เราต้องไตร่ตรองก่อน ซึ่งสุดท้ายปลายทางแล้วเราไม่ปิดลูกอยู่แล้ว เราต้องค่อยๆให้เขา

ส่วนกับคุณยายนั้นอยู่ในบริเวณเดียวกันแต่คนละหลัง แถวรามอินทรา คุณแม่สามารถนั่งรถกอล์ฟมาได้ตั้งแต่ 6 โมงเช้า เหมือนแม่มีหน้าที่ดูแล มีเป้าหมายในแต่ละวัน ก่อนมีลูกสิ่งเอมคิดก็คิดเรื่องนี้ เพราะรู้ว่าครอบครัวไม่มีเรื่องอื่นให้คิด แต่พอมีเรื่องหลานก็มีเรื่องอื่นให้คิด ทั้งหมดดีขึ้นในทุกๆ คนหลานช่วยได้เยอะ เราอดทนไป

ณ วันนั้น 10 ปีที่แล้วเราก็ไม่คิดว่าเรื่องมันจะยาวขนาดนี้ แต่ว่าในเมื่อถึงจุดๆหนึ่งแล้วเราก็ต้องทำใจ ถามว่าเครียดไม๊ก็เครียดเป็นบางช่วง แต่ถ้าเป็นช่วงนิ่งๆ เราก็สบายหน่อย

ช่วงที่ภาวะตึงเครียดมากๆ คุณเอมแก้ปัญหาตรงนี้อย่างไร

เครียดก็คือเครียด เวลาเครียดถ้าเป็นลูกก็พยายามวางลง เพราะเด็กจะรู้ว่าเราตึง เราไม่เหมือนปกติ เราพยายามทำอะไรของเรา ไม่ต้องไปอยู่กับลูกด้วยหน้าที่ ต้องปรับโหมดได้ก่อน แต่เป็นคนโกรธไม่นาน ต้องใช้หลักพระพุทธศาสนาเข้าช่วยคือต้องมีสติ แต่ก่อนมีลูกต้องไปนั่งสมาธิบ่อย แต่พอมีลูกไปได้ไม่บ่อย แต่คุณพงศ์เขาเป็นคนปฏิบัติเขาทำได้ดีกว่านั่งเกือบทุกวัน แต่เอมก็คือเรารู้ว่าเราต้องมีสติในการทำอะไรให้มีสติมากขึ้น และเรารู้ว่าทุกอย่างอยู่เหนือการควบคุมของเรา หากให้มันมาวิ่งตามเรา ๆก็จะไม่มีความสุข และเราพยายามวาง ต้องมีสติพอที่จะรู้ว่ามีเรื่องอื่นมาทำให้เราเสียพลังงานเชิงบวกไป เรายังรู้สึกแต่ แต่รู้ตัวแล้วก็ต้องพยายามคิดอะไรที่ดีมา พอได้สติก็มองว่าไปโกรธทำไม ซึ่งก็เป็นเรื่องธรรมชาติของคนที่จะโกรธ แต่เอมได้ฝึกวิชาเยอะแล้ว อย่างเช่นคอมเม้นท์อะไรนั้นเอมไม่รู้สึกอะไร ไม่อ่าน และเอมรู้ว่าคนเหล่านี้ไม่ได้รู้อะไรกับเรา หรือเขารู้ผิดๆ เราต้องบริหารใจตัวเอง คุมคนอื่นไม่ได้ก็ต้องคุมตัวเอง

อยากให้ลูกมีวิชานี้ไว้ เพราะคิดว่าต่อให้เรียนเก่ง กีฬาเก่ง หรือเก่งทุกอย่าง แต่บริหารใจไม่เป็นก็ไม่ดี

ทำอย่างไรให้น้องๆ เข้าถึงตรงนั้น

คิดว่าคืออยู่กับเขาเยอะๆ และเราคิดว่าเราเป็นตัวอย่างก่อน และค่อยๆบอกลูกว่า แม่เข้าใจและอันนี้เขาเรียกว่าโกรธไม่เป็นเรา คนเราโกรธได้ ให้คำศัพท์ว่าที่หนูเป็นคือโกรธ แต่เวลาโกรธเราต้องแสดงออกแบบนี้ๆ คือจะต้องสอนวิธีการออกให้เขา อย่าบอกว่าลูกอย่าโกรธ ห้ามกันไม่ได้ เอมไม่รู้ว่าเป็นวิธีที่ถูกที่สุดหรือไม่ แต่เอมทำตามที่เอมทำเป็น หากเขาสตรองเขาก็จะได้ เพราะเราไม่รู้ว่าอีก 10 ปีเรื่องมันจะเป็นอย่างไร

 

 

ที่มา:มติชนออนไลน์