วันนี้ (23 ส.ค.) ที่ กระทรวงกลาโหม นายไสว ทองอ้ม เหยื่อกระสุนในเหตุการณ์สลายการชุมนุมที่สี่แยกดินแดงช่วงเช้ามืดวันที่ 13 เมษายน 2552 ซึ่งชนะคดีเรียกค่าเสียหายจากการขาดโอกาสประกอบการงาน(อันเนื่องจากความพิการ)จากกองทัพในศาลชั้นต้น แต่แพ้คดีในศาลอุทธรณ์และฎีกาเพราะไม่อาจพิสูจน์ได้ว่าลูกกระสุนเป็นของเจ้าหน้าที่ทหาร จนถูกสั่งยึดทรัพย์และที่ดินทำกินเพื่อจ่ายค่าธรรมเนียมศาลและค่าทนายจำเลย(อัยการ)แทนกองทัพ ได้เดินทางมาที่กระทรวงกลาโหม พร้อมด้วยนายสมยศ พฤกษาเกษมสุข กลุ่ม 24 มิถุนาเพื่อประชาธิปไตย น.ส.ณัฏฐา มหัทธนา หรือครูโบว์ และนักกิจกรรมกลุ่มพลังมดที่มาให้กำลังใจ เพื่อเข้ายื่นหนังสือถึงพล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกฯและรมว.กลาโหม เรียกร้องมนุษยธรรมจากกองทัพให้ยุติการบังคับคดีที่นำสู่การยึดที่ดินทำกินเพื่อขายทอดตลาด
โดยนายไสวกล่าวว่า ตนฟ้องคดีนี้ด้วยความบริสุทธิ์ใจ เพราะเชื่อจากสิ่งที่ตาเห็นว่ากระสุนที่ยิงประชาชนในการสลายการชุมนุมนั้นมาจากฝั่งทหาร การที่ไม่สามารถหาผู้รับผิดชอบในเคราะห์กรรมที่ได้รับจนพิการไม่สามารถใช้มือข้างซ้ายได้ตลอดชีวิตก็เป็นความเจ็บปวดแล้ว ยังมาโชคร้ายถูกกองทัพฟ้องบังคับคดียึดที่ทำกินจากการแพ้คดีอีกก็เป็นความทุกข์ใจที่ไม่อาจบรรยายได้ ที่ผ่านมาเงินติดบัญชีพันกว่าบาท และเงินที่ได้จากการทำงานที่โอนเข้าบัญชีอีกสี่พันกว่าก็โดนยึดไปแล้ว ที่มาวันนี้ก็ต้องการขอให้กองทัพพิจารณายุติการบังคับคดี เพราะตนฟ้องร้องตามสิทธิของประชาชนคนหนึ่งเท่านั้น ไม่เคยคิดร้ายกับใคร
ด้านนายสมยศ พฤกษาเกษมสุข ตั้งข้อสังเกตว่า นี่คือคดีระหว่างประชาชนต่อรัฐ ไม่ใช่เอกชนต่อเอกชน กองทัพไม่ได้เสียหายอะไรจากการสู้คดีในครั้งนี้ ทนายที่ใช้ก็คืออัยการที่ทำงานในฐานะข้าราชการอยู่แล้ว ไม่ว่าจะชนะหรือแพ้คดีก็ไม่ได้ใช้งบประมาณของกองทัพไปจ่ายค่าจ้าง และค่าธรรมเนียมศาลนั้น เมื่ออยู่ในขั้นตอนศาลชั้นต้น นายไสวก็ได้รับการยกเว้นในฐานะบุคคลอนาถา และชนะคดีด้วยเหตุผลว่ารัฐมีหน้าที่รับผิดชอบต่อความเสียหายที่เกิดขึ้นระหว่างการสลายการชุมนุม แม้ในภายหลังนายไสวจะแพ้คดีด้วยเหตุที่ไม่สามารถพิสูจน์ความเป็นเจ้าของกระสุนได้ หากคดีนี้จบลงด้วยการบังคับคดีให้ยึดที่นาของนายไสว ก็น่าเป็นห่วงว่าในอนาคตหากมีประชาชนได้รับความเสียหายจากการปฏิบัติงานของรัฐอีก จะมีใครกล้าหันหน้าหากระบวนการยุติธรรมเพื่อเรียกร้องความเป็นธรรม
ส่วน น.ส.ณัฏฐา มหัทธนา นักกิจกรรมผู้สนับสนุนการยื่นหนังสือครั้งนี้กล่าวเสริมว่า ตนรู้สึกสลดใจที่ได้ทราบว่ากองทัพมีความกระตือรือร้นอย่างยิ่งในการบังคับคดีเรียกค่าใช้จ่าย ถึงขั้นแต่งตั้งนายทหารระดับพลตรีมาติดตามทรัพย์สินของนายไสวผู้เป็นเพียงชาวนาพิการ การยื่นหนังสือในครั้งนี้จึงไม่ใช่เพียงการขอให้ยุติการบังคับคดี แต่เป็นการถามหามนุษยธรรมจากกองทัพที่ควรดำรงอยู่เพื่อประชาชน
คดีนี้ศาลฎีกาได้ตัดสินให้ยกฟ้องคดีฟ้องร้องเรียกค่าเสียหายจากกองทัพ และสั่งให้นายไสว จ่ายค่าธรรมเนียมศาล และจ่ายค่าทนายจำเลย จำนวน 212,114 บาท
ที่มา มติชนออนไลน์