“เพื่อไทย” ร่อนแถลงการณ์ จี้รบ.-คสช. ปลดล็อกเงื่อนไขทางการเมืองทั้งหมดทันที

แฟ้มภาพ

“เพื่อไทย” ร่อนแถลงการณ์ จี้ รบ.-คสช. ปลดล็อกเงื่อนไขทางการเมืองทั้งหมดทันที

เมื่อวันที่ 18 กันยายน ผู้สื่อข่าวรายงานว่า พรรคเพื่อไทย (พท.) ออกแถลงการณ์เรื่อง ขอให้ปลดล็อกเงื่อนไขทางการเมืองทั้งหมดทันที ว่า ตามคำสั่งหัวหน้า คสช. ที่ 13/2561 เรื่อง การดำเนินการตามกฎหมายประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยพรรคการเมือง (เพิ่มเติม) ซึ่งได้ลงประกาศในราชกิจจานุเบกษาเมื่อวันที่ 14 กันยายน 2561 ที่ผ่านมา โดยมีเนื้อหาให้พรรคการเมืองดำเนินการแก้ไขข้อบังคับพรรค / ประชุมใหญ่เลือกหัวหน้าพรรค / กรรมการบริหาร / และหาสมาชิกพรรค ก่อนกฎหมายเลือกตั้งมีผลบังคับใช้ 90 วัน นอกจากนั้นยังห้ามพรรคการเมืองสื่อสารกับประชาชนที่มีลักษณะเข้าข่าย “การหาเสียง” และควบคุมการใช้สื่ออิเล็คทรอนิกส์และเทคโนโลยีสารสนเทศที่อาจตีความว่าเข้าข่าย “เป็นการหาเสียง” นั้น พรรคพท.ได้พิจารณาคำสั่งดังกล่าวแล้วเห็นว่า คำสั่งดังกล่าวเป็นการใช้อำนาจจำกัดบทบาทพรรคการเมือง และจำกัดสิทธิเสรีภาพประชาชนอย่างยิ่ง อีกทั้งยังสร้างปัญหาที่บั่นทอนการพัฒนาประชาธิปไตยและการเลือกตั้งที่จะเกิดขึ้นหลายประการ ดังนี้ 1.จากกรณีที่รัฐบาลและ คสช. ได้ประกาศกำหนดวันเลือกตั้งในวันอาทิตย์ ที่ 24 กุมภาพันธ์ 2562 และอนุญาตให้พรรคการเมืองดำเนินกิจกรรมได้ในระดับหนึ่งเป็นการควบคุมให้ใช้อำนาจได้เพียงขั้นพื้นฐาน คือ ดำเนินกิจกรรมที่เกี่ยวข้องกับงานด้านธุรการภายในเพื่อการประสานงานในระดับหนึ่งเท่านั้น แต่ไม่ได้อนุญาตให้พรรคการเมืองทำกิจกรรมหลักที่สำคัญในการรับฟังและสื่อสารข้อมูลนโยบายกับพี่น้องประชาชนได้ ในขณะที่กลุ่มการเมืองหรือพรรคการเมืองฟากฝ่ายที่สนับสนุน คสช. กลับสามารถเดินสายพบปะประชาชนในลักษณะหาเสียง รับฟังความเห็นในรูปแบบต่างๆได้ อีกทั้งรัฐบาลยังสามารถช่วงชิงโอกาส โดยอาศัย ครม. สัญจร และการทุ่มงบประมาณของรัฐ เพื่อสร้างคะแนนนิยมต่อประชาชนอย่างเต็มที่เพียงฝ่ายเดียว อันเป็นการกระทำซึ่งรัฐบาลที่ผ่านกระบวนการเลือกตั้งในระบอบประชาธิปไตยทั่วไปไม่สามารถกระทำได้ ถือเป็นการแสวงประโยชน์และเอาเปรียบทางการเมืองต่อพรรคการเมืองอื่นๆอย่างน่าละอาย

แถลงการณ์ ระบุอีกว่า 2.คำสั่งดังกล่าวเป็นเงื่อนไขบังคับพรรคการเมือง อันไม่เป็นธรรมและไม่สอดคล้องกับการสื่อสารที่เป็นจริงของยุคสมัยนี้ กรณีการห้ามใช้สื่ออิเล็กทรอนิกส์ที่มีลักษณะ “เข้าข่ายการหาเสียง” ซึ่งเป็นการใช้คำที่ไม่มีขอบเขตชัดเจน ขาดรูปธรรมที่จะทำความเข้าใจ และยังสามารถถูกนำไปตีความได้หลายด้าน การเขียนกฎหมายในลักษณะเช่นนี้มีโอกาสที่จะถูกใช้เป็นเครื่องมือทางการเมือง ในการสร้างความได้เปรียบเสียเปรียบแก่พรรคการเมืองที่คิดต่าง และอาจถูกนำมาตีความเพื่อใช้กลั่นแกล้งคู่แข่งได้โดยง่าย 3.การห้ามการสื่อสารระหว่างพรรคการเมืองกับประชาชน เป็นการทำลายสิทธิเสรีภาพขั้นพื้นฐานของประชาชนในการรับรู้ข้อเท็จจริงและมีส่วนร่วมแสดงความคิดเห็นกับพรรคการเมือง เพื่อสะท้อนความต้องการนโยบายที่มีคุณภาพ และเป็นประโยชน์ต่อพี่น้องประชาชนอย่างแท้จริง การควบคุมการทำงานของพรรคการเมืองเช่นนี้ เป็นการใช้อำนาจที่ไม่เป็นธรรม ทำให้กระบวนการสร้างนโยบายของพรรคการเมืองต่างๆยิ่งถูกจำกัด การสื่อสารทางตรงของพรรคการเมืองและประชาชนในรูปแบบต่างๆ ที่หลากหลาย เป็นกติกาสำคัญของประชาธิปไตยที่แข็งแรง และบริสุทธิ์ ซึ่งประเทศต่างๆ ทั่วโลกยึดถือเป็นหลักการสากล การเลือกตั้งที่จำกัดสิทธิประชาชนในการรับรู้ รับฟัง และเข้าถึงข้อมูลข้อเท็จจริงในการตัดสินใจเลือกนโยบายที่พอใจ นับว่าเป็นการเลือกตั้งที่บั่นทอนพลังของจิตวิญญาณประชาธิปไตยอย่างยิ่ง

แถลงการณ์ ระบุอีกว่า 4.รัฐบาลพยายาม “ประโคมข่าวและสร้างภาพ” ตนเองว่าเป็นรัฐบาลที่มีความทันสมัย และพยายามก้าวให้ทันการเปลี่ยนแปลงของโลกที่เกิดขึ้นอย่างรวดเร็วและจะเร่งผลักดันประเทศไทยให้เป็น “ประเทศ 4.0” ที่เทียบเทียมและเท่าทันโลกที่กำลังเปลี่ยนแปลงอย่างไม่หยุดยั้ง ในโลกยุคใหม่ การติดต่อสื่อสารผ่านโซเชียลมีเดียถือเป็นเครื่องมือสำคัญในการติดต่อสื่อสารของคนในสังคมโลกที่มีความเจริญและเท่าทันการเปลี่ยนแปลง และที่สำคัญเป็นเครื่องชี้วัด หลักประกัน เสรีภาพทางความคิด และการแสดงออกของผู้คน อีกทั้งเป็นเครื่องมือสำคัญที่ทำให้คนในสังคมสามารถติดต่อสื่อสารกันได้ง่าย รวดเร็ว สะดวกและทันท่วงทีและเป็นเครื่องมือที่ทำให้ความรับรู้ของคนในสังคมกว้างขวางและประหยัดค่าใช้จ่าย เรื่องที่ง่ายๆเช่นนี้รัฐบาล ยังไม่เข้าใจแล้วจะนำพาสังคมไทยไปสู่ “สังคม 4.0” ได้อย่างไร

“พรรคพท.จึงขอเรียกร้องไปยัง คสช. และรัฐบาล ให้ปลดล็อกเงื่อนไขทางการเมือง ทั้งหมด ทันที มิใช่ การคลายล็อก อย่างที่กำลังมีนัยยะซ่อนเร้นให้ดำเนินการในปัจจุบัน เพื่อให้พรรคการเมืองทุกพรรคได้สามารถติดต่อสื่อสาร สร้างความเข้าใจ สร้างการมีส่วนร่วมของประชาชน เพื่อกำหนดโอกาสและแนวทางการพัฒนาประเทศตามความต้องการของตน และสามารถร่วมกำหนดสร้างแนวนโยบายสำคัญที่เป็นประโยชน์อย่างแท้จริงสำหรับชีวิตของตนต่อไป” แถลงการณ์ ระบุ

 


ที่มา : มติชนออนไลน์