“เพื่อไทย” ส่งขาใหญ่แก้เกมแพ้เลือกตั้ง ผ่องถ่าย “ส.ส.เพื่อธรรม” เก็บแต้มระบบเขต

พรรคเพื่อไทยกำลังเผชิญหน้ากับมรสุมการเมือง อย่างน้อย 3 ลูก

มรสุมลูกแรก ระดับความรุนแรงสูงสุด คือ ปมปัญหาการนับคะแนนแบบใหม่ ตามรัฐธรรมนูญ 2560

มรสุมลูกที่สอง ระดับความผันผวน คาดการณ์ทำนายผลยาก คือ ความเสี่ยงที่พรรคเพื่อไทยจะถูกยุบ

มรสุมลูกที่สาม เป็นฤดูกาล-การเมือง ที่เพื่อไทยต้องเผชิญมาตลอดในช่วง 1 ทศวรรษที่ผ่านมา คือ การหาหัวหน้าพรรค ทั้งใน-นอกตระกูล “ชินวัตร”

วาระใหญ่-เรื่องสำคัญของพรรคเพื่อไทย ในเวลานี้ จึงหนีไม่พ้นการวางแผนรองรับ “คณิตศาสตร์การเมือง” ที่ฝ่ายแม่น้ำ 5 สายของคณะ คสช. วางกับดักไว้ตั้งแต่เริ่มร่างรัฐธรรมนูญ

ตัวเลข “ส.ส.ที่พึงมี” กับจำนวนผู้มีสิทธิเลือกตั้ง และจำนวนเขตเลือกตั้ง ถูกวางไว้สกัด “พรรคใหญ่” ให้ล้ม-แตก

กว่าพรรคเพื่อไทยจะรู้ตัวก็เกือบสาย เพราะมีกฎหมาย ไทม์ไลน์การเมือง ร่นเข้ามาทุกจังหวะ

เมื่อคณะกรรมการการเลือกตั้ง วางตัวเลขผู้มีสิทธิเลือกตั้ง 66.18 ล้านคน

คาดการณ์ผู้มาใช้สิทธิประมาณ 70% หรือประมาณ 37.1 ล้านคน เฉลี่ย 350 เขตเลือกตั้ง จะมีผู้มาใช้สิทธิตัวเลขกลม ๆ คือ 100,000 คน (350 เขต คูณด้วย 1 แสนคน = 35 ล้านคะแนน)

นี่จึงเป็นที่มาของสูตร “ส.ส.พึงมี” คือ 35 ล้านเสียง หารด้วยจำนวน ส.ส.ทั้งสภา 500 คน จะได้ตัวเลขเฉลี่ย 70,000 เสียง ต่อ ส.ส.เขต 1 คน

เมื่อนำวิธีคำนวณนี้ไปเทียบเคียงกับพรรคเพื่อไทย ซึ่งได้คะแนนเลือกตั้งจากระบบเขตในปี 2554 จำนวน 204 เขต 12,211,604 ล้านเสียง หากคิดสูตรนับคะแนนแบบใหม่ (12,211,604 หารด้วย 70,000) จะได้ ส.ส.เขตเพียง 174 คนเท่านั้น โดยไม่ได้ ส.ส.ระบบบัญชีรายชื่อเลยแม้แต่คนเดียว

แม้ทีมยุทธศาสตร์เพื่อไทยจะตั้งตัวเลขเป้าหมายชนะระบบ ส.ส.เขต 200 คน คาดว่าจะได้เสียงจากเขตที่ชนะ 10,000,000 เสียง หากจะได้ ส.ส.ระบบบัญชีรายชื่อ จะต้องได้คะแนนเขตที่แพ้มากกว่า 4,000,000 เสียง นั่นหมายความว่า เขตที่แพ้อีก 150 เขต จะต้องได้คะแนนประมาณ 20,000 คะแนน รวมเป็น 3,000,000 คะแนน

ถ้าเพื่อไทยได้ ส.ส.เขต 200 คน จะต้องได้คะแนนมาอย่างน้อย 14,000,000+70,000 คะแนน จึงจะได้ ส.ส.บัญชีรายชื่อ 1 คน

ทางออกจากสูตร “ส.ส.บัญชีรายชื่อสอบตก” เพื่อไทยจึงต้องผ่องถ่าย ส.ส.ที่เคยชนะระบบเขต 2 สมัยที่ผ่านมา ไปลงรับสมัคร “พรรคสำรอง” ที่มีการกล่าวถึงหนาหูในเพื่อไทยคือ “พรรคเพื่อธรรม” เพื่อเอาคะแนนดั้งเดิมที่เคยชนะสูงสุด 204 เขตกลับคืนมา

พรรคเพื่อไทย-ปักหลักเดินหน้าส่งผู้สมัครรุ่นใหญ่ ตัวจริง ที่เคยอยู่ในระบบบัญชีรายชื่อ ลงสู่ระบบเขต ในพื้นที่ที่ชนะแน่นอน เช่น กรุงเทพฯ อีสาน และเหนือ และส่งผู้สมัคร “ไปแพ้” ในเขตที่เป็นจุดอ่อน เพื่อ “เอาคะแนนตกน้ำ” มาคำนวณ ส.ส.ระบบบัญชีรายชื่อ

ชื่อเสียงระดับ “บิ๊กเนม” ที่จะหนีจากบัญชีไปลงเขต เช่น “วัฒนา เมืองสุข” อดีต รมช.พาณิชย์ ขอพรรคไปลงเขตบางแค โดยให้ “ร.ท.สุณิสา ทิวากรดำรง” หรือหมวดเจี๊ยบ จะไปลงพื้นที่เขตลาดพร้าว-วังทองหลาง

“กิตติรัตน์ ณ ระนอง” อดีตรองนายกฯ ไปลงเลือกตั้งในเขตคลองเตย “จาตุรนต์ ฉายแสง” อดีต รมว.ศึกษาธิการ ไปลงสมัคร ส.ส.ฉะเชิงเทรา “พงศ์เทพ เทพกาญจนา” อดีตรองนายกฯ จะไปลงสมัคร ส.ส.สมุทรสาคร

ส่วน “บิ๊กเนม” ที่ยังตัดสินใจ “ก้ำกึ่ง” ว่าจะลงเขตไหน เช่น โภคิน พลกุล แกนนำพรรค มีข่าวว่าต้องการลงสมัคร ส.ส.พื้นที่ กทม.ชั้นใน เช่น เขตดุสิต “ภูมิธรรม เวชยชัย” รักษาการเลขาธิการพรรค มีข่าวว่าจะลงสมัคร ส.ส.ย่านฝั่งธนบุรี

ยุทธศาสตร์ลงเลือกตั้ง 2-3 พรรค ตามทฤษฎีที่ “สุเทพ เทือกสุบรรณ” เคยกล่าวไว้กับ “บีบีซี ไทย” คือ “การแตกแบงก์พันเป็นแบงก์ร้อย”

ขณะที่มรสุมลูกที่สอง “การยุบพรรค” ถูกพูดถึงอย่างอื้ออึงในพรรค พรรคเพื่อธรรมนอกจากเป็นพรรคเก็บแต้มปาร์ตี้ลิสต์ ยังเป็นพรรคสำรอง หากพรรคเพื่อไทยประสบอุบัติเหตุ

แหล่งข่าวกำลังประเมินสถานการณ์ยุบพรรคว่า มีจุดเสี่ยงอยู่ 2 เรื่อง คือ การแถลงข่าว 8 แกนนำ เรื่องครบรอบ 4 ปี คสช. กับเรื่องของ นายทักษิณ ชินวัตร วิดีโอคอลมายังสมาชิกพรรค หาว่า ครอบงำพรรค ทั้งที่ในวงนั้นก็ไม่มีหัวหน้าพรรค เลขาธิการพรรค

“แต่การยุบพรรคหรือไม่ เป็นเรื่องของผู้มีอำนาจ ถ้ายุบพรรคในช่วง 90 วันก่อนวันเลือกตั้งคือ 26 พ.ย. ก็ย้ายไปอยู่พรรคใหม่ได้ เหมือนที่เคยทำกับพลังประชาชน แต่ถ้ายุบหลัง 26 พ.ย. พวกที่เป็นสมาชิกเพื่อไทยไปแล้วจะลง ส.ส.ไม่ได้อีก เพราะไม่ได้เป็นสมาชิกพรรคใดพรรคหนึ่งครบ 90 วันก่อนเลือกตั้ง ถ้าผู้มีอำนาจกล้าทำเช่นนั้น จะทำให้นักการเมืองที่จะลงเลือกตั้งหายไป 300 กว่าชีวิต คสช.จะกล้าเสี่ยงหรือไม่”

เรื่องที่หนักใจ ส.ส.ที่สุดคือ ปม 8 แกนนำแถลง 4 ปี คสช.ว่าจะเป็นเหตุทำให้ยุบพรรค อินไซด์จาก กกต.ที่คนในเพื่อไทยได้ยินแล้วระทึก

เมื่อไม่กี่วันที่ผ่านมา มีรายงานว่าคณะทำงานของ กกต.ได้ชงเรื่อง “ทักษิณ” วิดีโอคอลมายังแกนนำพรรคเพื่อไทย เข้าสู่ที่ประชุม กกต.แล้ว แต่ในเบื้องต้น กกต.ตีกลับให้ไปสอบสวนหาข้อเท็จจริงเพิ่มเติมไปก่อน

เรื่อง “ทักษิณ” ครอบงำพรรค กกต.ยังไม่ตีตก ยังเป็น “วาระค้าง” ที่พร้อมจะลงมติได้ในวันข้างหน้า

ส่วนมรสุมลูกที่สาม เป็นฤดูกาล-การเมือง ที่เพื่อไทยต้องเผชิญมาตลอดในช่วง 1 ทศวรรษที่ผ่านมา คือ การหาหัวหน้าพรรค ทั้งใน-นอกตระกูล “ชินวัตร”

แต่การสรรหาเบอร์ 1 พรรค จะพลิกโฉมไปจากการเฟ้นผู้นำพรรคในรอบ 10 ปีที่ผ่านมา ซึ่งส่วนใหญ่ “เคาะ” โดยทักษิณด้วยการเปิดให้อดีต ส.ส. รัฐมนตรี สมาชิกพรรค “หยั่งเสียง” คนที่จะมานำพรรคครั้งแรก

สอดคล้องกับกระแสข่าวภายในว่า มี ส.ส. นักการเมืองในพรรค เริ่มเคลื่อนไหวให้มีการ “แสดงวิสัยทัศน์” ของว่าที่ผู้นำพรรค 2 รอบ เพื่อประชันหาตัวจริง

“สุดารัตน์ เกยุราพันธุ์” เจ้าแม่ กทม.-ดร.ตั๊ก “ปานปรีย์ พหิทธานุกร” อดีตรองหัวหน้าพรรคเพื่อไทย รวมถึง “จาตุรนต์ ฉายแสง” แกนนำพรรค ที่ปรากฏเป็นแคนดิเดตในช่วงเวลานี้…

ทุกชื่อยังมีความเป็นไปได้