ตัวแทน 4 พรรคการเมือง พร้อมหนุนการศึกษาไทยให้เกิดความเท่าเทียม อนค.ชูนโยบายเงินเดือนเยาวชน-หั่นงบทหารเสริมการศึกษา ด้าน ปชป.แนะตั้ง คกก.การอ่านหนังสือแห่งชาติ เพิ่มทุนนักเขียนเปิดพื้นที่การอ่าน
วันนี้ (19 ต.ค.) ที่ศูนย์การประชุมแห่งชาติสิริกิติ์ งานมหกรรมหนังสือระดับชาติครั้งที่ 13 มีการจัดเสวนาในหัวข้อ “เสียงที่ไม่ (เคย) ได้ยิน” เวทีภาคการเมือง ซึ่งมีตัวแทนจากพรรคการเมือง อาทิ นายกิตติรัตน์ ณ ระนอง อดีตรองนายกรัฐมนตรี และ รมว.คลัง พรรคเพื่อไทย (พท.) นายประสาร มฤคพิทักษ์ ผู้ร่วมก่อตั้งพรรครวมพลังประชาชาติไทย (รปช.) นายปิยบุตร แสงกนกกุล เลขาธิการพรรคอนาคตใหม่ (อนค.) น.ส.รัชดา ธนาดิเรก อดีต ส.ส.พรรคประชาธิปัตย์ ดำเนินรายการโดยนายมกุฏ อรฤดี ศิลปินแห่งชาติ สาขาวรรณศิลป์
- ร้านธงฟ้า 1.4 แสนแห่ง พร้อมรับดิจิทัลวอลเลต เช็กจังหวัดไหนร้านธงฟ้ามาก-น้อยสุด
- นักท่องเที่ยวเข้าต่ำแสน หวั่นโลว์ซีซั่นทรุดหนัก ททท.ชี้กระทบสั้นยอดบุ๊กกิ้งแอร์ไลน์แน่น
- เปิด 10 อันดับมหาวิทยาลัยรัฐ-ราชภัฏ-เอกชน ที่ได้รับความนิยมมากสุด
ผู้สื่อข่าวรายงานว่า แต่ละพรรคการเมืองได้แสดงความเห็นว่า หากในอนาคตได้เป็นรัฐบาลจะมีนโยบายดำเนินการส่งเสริมการอ่านหนังสืออย่างไร โดย น.ส.รัชดา ตัวแทนจากพรรค ปชป.กล่าวว่า จะส่งเสริมเรื่องของการศึกษาให้ดีขึ้น เพราะหากเด็กอ่านไม่ได้ก็เป็นนักเขียนไม่ได้ จึงต้องส่งเสริมให้เด็กสนใจการอ่าน ที่สำคัญต้องปรับปรุงระบบการศึกษาให้สอดคล้องกับธรรมชาติของเด็ก ไม่ให้เรียนในสิ่งที่ยากเกินไป จนไม่อยากทำ และสุดท้ายก็จะไม่สามารถเขียนหนังสือได้ เราจะตั้งคณะกรรมการการอ่านหนังสือแห่งชาติ พร้อมจะส่งเสริมนักเขียน นักแปลที่มีคุณภาพ และให้ทุนการศึกษาในการพัฒนาผลงาน ที่สำคัญต้องมีพื้นที่ให้แสดงผลงาน
ด้านนายกิตติรัตน์กล่าวว่า นักเขียนที่ดีควรจะมีพื้นที่ในการแสดงผลงาน และเพื่อให้ผลงานที่ดีส่งถึงประชาชนได้ง่ายขึ้น หรือสามารถส่งผลงานดีๆ ให้กับทุกโรงเรียนให้เด็กได้อ่าน และหากพรรคเพื่อไทยได้เป็นรัฐบาลจะขยายพื้นที่ในการจัดสัปดาห์หนังสือให้กระจายไปในส่วนภูมิภาคด้วยและจะพยายามผลักดันให้นักเรียนใช้แท็บเล็ตในการเข้าถึงเนื้อหาของหนังสือ นอกจากนี้ยังจะให้ทุกคนได้เข้าถึงห้องสมุด
ขณะที่นายประสาร ตัวแทนพรรค รปช. กล่าวว่า กระทรวงศึกษาธิการไม่ควรปล่อยให้เรื่องของการอ่านกลายเป็นสิ่งที่เด็กต้องแสวงหาเอง ควรจะเปิดกว้างให้เด็กสามารถอ่านหนังสือได้อย่างเสรี
เมื่อถามว่า ถ้าพรรคการเมืองของท่านเป็นรัฐบาลจะจัดการกับระบอบหนังสือและพัฒนาความรู้อย่างไรนั้น นายกิตติรัตน์กล่าวว่า ความรู้มีความสำคัญเป็นอันดับ 1 แต่ต้องจัดการสิ่งพื้นฐานให้คนยากลำบาก หากคนเหล่านั้นมีท้องอิ่ม มีรายได้พอประมาณและดูแลตัวเองได้ ก่อนที่จะผลักดันให้สนใจในเรื่องความรู้ซึ่งก็เป็นสิ่งจำเป็น
ด้านนายปิยบุตรกล่าวว่า การพัฒนาความรู้ประกอบด้วย 3 หลักการ คือ 1.เสรีภาพในการศึกษา 2.ความเท่าเทียมในการศึกษา และ 3.ความหลากหลายในการศึกษา ส่วนเรื่องความเท่าเทียมในการศึกษาที่มีปัญหามานานว่าประเทศไทยไม่มีงบประมาณเพียงพอนั้น พรรคอนาคตใหม่มีแนวคิดจะทำนโยบายเงินเดือนเยาวชนเพื่อช่วยลดค่าใช้จ่ายของผู้ปกครอง โดยมีเงื่อนไขว่าเงินนี้จะต้องเอาไปเรียนหนังสือเท่านั้น ซึ่งจะนำงบมาจากการลดงบประมาณของกองทัพ เชื่อว่ากองทัพที่ทันสมัยไม่จำเป็นต้องใช้งบประมาณและนายพลเยอะขนาดนี้ ซึ่งบทบาทของพรรคการเมืองที่จะช่วยพัฒนาชาติด้วยความรู้ไม่ได้เกิดขึ้นในช่วงการเลือกตั้งและการไปอยู่ในสภาเท่านั้น เพราะจริงๆ แล้วการเมืองต้องทำงานตลอดเวลา ในอนาคตพรรคอนาคตใหม่จะตั้งมูลนิธิทำงานขับเคลื่อนสังคมร่วมกับภาคส่วนต่างๆ โดยไม่ต้องมีภาครัฐ วิธีการดังกล่าวจะทำให้พรรคการเมืองมีชีวิตตลอดเวลา ไม่ใช่มีบทบาทแค่ช่วงเลือกตั้ง
ด้านนายประสารกล่าวว่า เราควรให้เด็กอ่านหนังสือสัปดาห์ละ 1 เล่ม เพื่อสร้างนิสัยรักการอ่าน ไม่ใช่การยัดเยียดให้เด็ก แต่ต้องมีวิธีการนำเสนอ เราสนับสนุนให้สร้างนิสัยการอ่านทั้งแผ่นดิน ส่วนที่พรรคอนาคตใหม่เสนอให้ลดงบของกองทัพแล้วเพิ่มงบการศึกษานั้น คงทำไม่ได้ เพราะการจัดสรรงบประมาณนั้น ไม่สามารถหยิบจากกระทรวงหนึ่ง มาให้อีกกระทรวงหนึ่ง อีกทั้งกระทรวงศึกษาธิการก็ได้งบประมาณสูงสุดอยู่แล้ว ส่วนกระทรวงกลาโหมได้งบมาเป็นอันดับ 4 จากทุกกระทรวง
น.ส.รัชดากล่าวว่า หากพรรค ปชป.ได้เป็นรัฐบาล จะพัฒนาชาติด้วยการศึกษา 3 วิธี 1.ปรับการเรียนการสอนให้เด็กมีความคิดสร้างสรรค์ คิดวิเคราะห์เป็น พร้อมนำเทคโนโลยีมาปรับใช้ 2.แก้ปัญหาความเหลื่อมล้ำทางการศึกษา โดยให้โรงเรียนขนาดเล็กในชนบทมีคุณภาพ มีปริมาณครูที่เพียงพอ พร้อมจัดสรรงบประมาณตามฐานความขาดแคลน และให้หน่วยงานต่างๆ เข้ามามีส่วนร่วมกับโรงเรียนในท้องถิ่น 3.พัฒนาหลักสูตรออนไลน์ สร้างค่านิยมไม่ให้คนไม่ยึดติดใบปริญญา เพราะทุกคนสามารถหาความรู้ได้จากแหล่งต่างๆ นอกจากนี้ ทุกพรรคการเมืองควรจริงจังกับการสนับสนุนให้พ่อแม่อ่านหนังสือให้กับลูกฟัง
เมื่อถามว่า พรรคการเมืองของท่านตระหนักถึงความรู้ของประชาชน และจะนำหนังสือมาช่วยอย่างไร นายกิตติรัตน์กล่าวว่า เชื่อว่าการสร้างสิ่งแวดล้อมและโอกาสในการเข้าถึงจะช่วยให้คนอยากรู้มากขึ้น เพราะเรื่องที่ควรจะรู้ก็ไม่รู้ แต่เรื่องที่ควรรู้กลับไม่รู้ เช่น ความสามารถในการอ่านทั้งภาษาไทยและภาษาอังกฤษ ทำให้ไม่สามารถไปไขว่คว้าความรู้ในเรื่องอื่นได้ แต่ก็มีความรู้ที่มาจากรายการโทรทัศน์บางรายการที่ฉายทุกช่อง แต่คนไม่ดู
นายปิยบุตรกล่าวว่า ความรู้มี 2 แบบ คือ 1.ความรู้เพื่อการดำรงชีวิต และ 2.ความรู้เพื่อพัฒนาปัญญา รัฐบาลจำเป็นต้องสนับสนุนความรู้ทั้ง 2 แบบ เพราะถ้าเรียนแค่ความรู้แบบแรก คนจะกลายเป็นหุ่นยนต์ไปหมด ในทางกลับกัน ความรู้แบบที่สองจะทำให้คนรุ่มรวย ลุ่มลึก อย่างไรก็ตามวันนี้ประเทศไทยถูกกดทับไม่ให้คนแสดงออกได้อย่างที่คิด ดังนั้น กฎหมายที่ปิดกั้นเสรีภาพต้องถูกยกเลิก เช่น พ.ร.บ.คอมพิวเตอร์ นอกจากนี้ ในแง่โครงสร้าง ความรู้ของไทยถูกรวมศูนย์อยู่ที่ส่วนกลาง เป็นความรู้ชุดเดียว ทั้งที่ท้องถิ่นอาจมีความรู้เฉพาะพื้นที่ ดังนั้น เราสนับสนุนให้มีการกระจายอำนาจ และเปิดโอกาสให้มีชุดความรู้ที่หลากหลาย ส่งเสริมสวัสดิการเพื่อให้ประชาชนไม่ต้องเอาตัวรอดไปวันๆ แต่ต้องมีเวลาและสมองเพื่อได้ใช้ความคิดสร้างสรรค์ ซึ่งรัฐบาลที่จะทำสิ่งเหล่านี้ได้ต้องเป็นรัฐบาลในระบอบประชาธิปไตยเท่านั้น
ที่มา มติชนออนไลน์