จับตา “ชินวัตร” สงบศึกเพื่อไทย ปิดเกม “เพื่อธรรม” เดิมพันเลือกตั้ง

อุณหภูมิร้อนทางการเมือง อันเกิดจากศึกภายในพรรคเพื่อไทย นับวันยิ่งเข้มข้น

ศึกแรกคือการต่อสู้ความคิด 2 ทางเลือกในเพื่อไทย เพื่อหนีตายระบบเลือกตั้งจัดสรรปันส่วนผสม ที่แกนนำพรรคค้นพบว่า ระบบเลือกตั้งสูตร “มีชัย ฤชุพันธุ์” จะทำให้พรรคเพื่อไทย ส.ส.ปาร์ตี้ลิสต์ น้อยยิ่งกว่าน้อย และอาจจะไม่ได้ ส.ส.ปาร์ตี้ลิสต์เลยก็เป็นได้

จึงจำเป็นต้องใช้กลยุทธ์ “พรรคพี่-พรรคน้อง” แตกพรรคออกไปเป็นพรรคเพื่อธรรม เพื่อชาติ ประชาชาติ เพื่อโกยคะแนนเลือกตั้งให้ได้มากที่สุด เพื่อให้ได้ ส.ส.ปาร์ตี้ลิสต์ แล้วมารวมเสียงกันหลังเลือกตั้ง

ด้วยยุทธศาสตร์ให้พรรคเพื่อไทยเป็นพรรคร้าง ส่งแต่เบอร์ใหญ่ ๆ ลงเขต เพื่อเรียกคะแนนพ็อปพูลาร์โหวตให้ได้มากกว่า 7 หมื่นแต้มในแต่ละเขต ส่วนพรรคอื่น ๆ ให้ไปเก็บคะแนนที่แพ้ให้ได้มาก ๆ เพราะ 7 หมื่นคะแนนที่ได้จะคำนวณเป็นเก้าอี้ ส.ส. 1 ที่นั่ง ตามเวิร์ดดิ้งการเมืองของ “จตุพร พรหมพันธุ์” ที่ไปตั้งพรรคเพื่อชาติว่า “รวมกันแพ้ แยกกันชนะ”

แต่กลับกลายเป็นว่า ไอเดีย “พรรคพี่-พรรคน้อง” ไม่ได้รับการ “ซื้อ” จากบรรดา ส.ส.ส่วนใหญ่ในพรรคเพื่อไทย เพราะสุดท้ายแล้วอาจจะไปตัดแต้มกันเอง เผลอ ๆ อาจแพ้ด้วยกันทั้ง “พรรคพี่-พรรคน้อง” และให้ “เพื่อธรรม” ควรมีสำรองไว้สำหรับถูก “ยุบพรรค” เท่านั้น

ขณะที่แกนนำพรรคบินไป “ขาย” ไอเดียกับ “ทักษิณ ชินวัตร” ซึ่งโคจรไปพำนักฮ่องกงนานเกินสัปดาห์ เปิดโอกาสให้ ส.ส.แต่ละภาคไปแชร์ความเห็นอย่างทั่วถึง

แต่สัญญาณที่ดีดกลับมาทันควัน คือ การปรากฏตัวของ “ครอบครัวชินวัตร” ที่แวดล้อมไปด้วยแกนนำพรรคเพื่อไทย ระดับมันสมอง หน้าสำนักงานอัยการสูงสุด ในวันที่ “พานทองแท้ ชินวัตร” ถูกอัยการสูงสุดสั่งฟ้องคดีร่วมกันฟอกเงินและสมคบกันฟอกเงิน กรณีอนุมัติสินเชื่อของธนาคารกรุงไทยโดยมิชอบให้กับกลุ่มกฤษดามหานคร รวมกับพวกรวม 4 คน เมื่อ 10 ตุลาคมที่ผ่านมา

“พานทองแท้” โพสต์เฟซบุ๊ก 1 วันก่อนปรากฏตัวหน้าสำนักงานอัยการสูงสุดว่า “นอกจากจะไม่เผ่นกันแล้ว ผมจะชวนทุกคนในบ้านมาสมัครพรรค (เพื่อไทย) ด้วยกันครับ”

สัญลักษณ์ดังกล่าวถูกตีความในเชิงการเมืองว่า “ครอบครัวชินวัตร” สนับสนุนพรรคเพื่อไทย ต่อสู้ในการเลือกตั้งเพียงพรรคเดียว โดยต้องการ “สงบศึก” ภายใน ก่อนเลือกตั้ง

ทุกอีเวนต์การเมืองสำคัญของพรรคอยู่ในสายตาประมุขจันทร์ส่องหล้า ทั้งภาพนิ่งและภาพเคลื่อนไหว

ท่ามกลางความเห็นแย้งของ ส.ส.ถึงการ “แตกพรรค” ออกไปแยกกันเดิน ร่วมกันตี ทว่า…แหล่งข่าวในวงที่ไปร่วมสนทนาการเมืองกับ “ทักษิณ” ที่ฮ่องกง แสดงความมั่นใจถึงขั้นว่า 28 ตุลาคมนี้ ทีมผู้บริหารพรรคชุดใหม่จะประกาศว่าใช้พรรคเพื่อไทยพรรคเดียวในการสู้ศึกเลือกตั้ง

อีก 1 ศึกที่พรรคเพื่อไทยต้องเคลียร์ให้ชัด ให้ทุกอย่างจบก่อนวันที่ 28 ตุลาคม คือ การหาหัวหน้าพรรคคนใหม่

ทำเอาเวลานี้ฝุ่นตลบไปทั่วทั้งพรรค กับการปรากฏข่าวว่ามี ส.ส.อีสานกว่า 40 ชีวิต ไปหารือกับภูมิธรรม เวชยชัย เลขาธิการพรรค แสดงความไม่พอใจหากได้ “คุณหญิงสุดารัตน์ เกยุราพันธุ์” มานั่งเป็นแม่ทัพใหญ่ในศึกเลือกตั้ง เพราะเข้าไปล้วงลูกถึงการส่ง ส.ส.ลงเขตเลือกตั้ง ในฐานะที่นั่งเป็นประธานยุทธศาสตร์พรรค

แต่ดีลเก่าของ “คุณหญิงสุดารัตน์” ที่ยังมิอาจยกเลิกคือ แบ็กอัพจากทายาทและหลังบ้านชินวัตร

ในเวลาเดียวกันคนการเมืองสาย “ทักษิณ” ปล่อยชื่อ “ปานปรีย์ พหิทธานุกร” อดีตรองหัวหน้าพรรคเพื่อไทย ขึ้นมาขาย-ขนานกับชื่อ “สุดารัตน์” โดยปั้นลุกให้เป็นมือคลุกวงในเศรษฐกิจ

ยังไม่นับ “พล.ต.ท.วิโรจน์ เปาอินทร์” รักษาการหัวหน้าพรรคคนปัจจุบัน โดยนักการเมืองเพื่อไทยหลายคนเชื่อว่า ถ้าจะสงบศึกผู้นำพรรคเพื่อไทยต้องให้ “พล.ต.ท.วิโรจน์” ขยับจาก “รักษาการ” มาเป็นหัวหน้าพรรคตัวจริงต่อไป แล้วดันชื่อของ “คุณหญิงสุดารัตน์” เป็นนายกรัฐมนตรีในบัญชีเพื่อไทย

อีกชื่อหนึ่งที่ขาดไม่ได้ คือ “ชัชชาติ สิทธิพันธุ์” อดีต รมว.คมนาคม ที่ต้องไม่ลืมห้อยท้ายในบัญชีหัวหน้าพรรคด้วยอีก 1 ราย

ทว่า…สุดท้ายแล้วศึกภายใน ทั้งแตกพรรคเพื่อไทย สู่เพื่อธรรม เพื่อชาติ ประชาชาติ เพื่อสู้ศึกเลือกตั้งตามกติกาใหม่ หรือใช้เพื่อไทยพรรคเดียว

จะขึ้นอยู่กับท่าทีของ “ตระกูลชินวัตร” ตามคำประกาศผ่านเฟซบุ๊กของ “พานทองแท้” ว่า จะมาสมัครเป็นสมาชิกพรรคกันยกครอบครัว แม้ว่าเดิมพันครั้งนี้จะมีความเสี่ยงยิ่งกว่าเสี่ยง แม้อาจได้ภาพการต่อสู้เป็นปึกแผ่น แต่ก็เสี่ยงที่จะได้ ส.ส.ต่ำกว่าเป้า

ซึ่งอาจจะเห็นภาพชัดขึ้น ก่อนถึงกำหนดที่ศาลอาญาคดีทุจริตฯ นัดสอบคำให้การจำเลย คือ “พานทองแท้” ในวันที่ 5 พฤศจิกายน 2561