ปชป.หลังศึกดีเบตชิงผู้นำ ก้าวข้าม “ทักษิณ-คสช.” หลุดพ้นวิกฤตรัฐประหาร

ไม่ว่าการดีเบตชิงหัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ (ปชป.) เมื่อวันที่ 26 ตุลาคม 2561 ใครจะโดดเด่น-เจิดจรัส หรือใครจะอัสดง ทว่าโจทย์ที่ นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ-นพ.วรงค์ เดชกิจวิกรม และ นายอลงกรณ์ พลบุตร ต้องประชันวิสัยทัศน์ให้ไกลกว่านั้น

ไม่ใช่เฉพาะสมาชิกพรรค-กองเชียร์กว่า 2 ล้านคน ที่อยู่-ไม่อยู่ในระบบและคะแนนเสียงที่เทใจให้ ปชป.ในการเลือกตั้งปี”54 กว่า 11 ล้านเสียง แต่หมายถึงการทลายความเชื่อตลอด 1 ทศวรรษ เพื่อก้าวข้าม 14 ล้านเสียงของพรรคเพื่อไทย (พท.)

“เป้าใหญ่” ของแคนดิเดตทั้ง 3 คน คือ จะพาทีอย่างไรภายในระยะเวลา 90 นาที ให้โน้มน้าว “voter” ที่ไม่ใช่สาวกเพื่อไทย ไม่ได้คลั่งไคล้ “พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา” มาเติมเต็มคะแนนเลือก ปชป. ในการหย่อนบัตรเลือกตั้ง 24 กุมภาพันธ์ 2562

“ผมพร้อมที่จะนำพรรคสู่ชัยชนะจากการเลือกตั้ง ด้วยแนวทางการเมืองสีขาวจะพลิกโฉมหน้า ปชป.แบบ 360 องศา และสร้างจุดเปลี่ยนการเมืองไทยแบบ disruptive politic คือ การพลิกโฉมหน้าการเมืองอย่างฉับพลัน”

การปฏิรูปพรรคด้วยแนวทาง “การเมืองสีขาว” ของ “อลงกรณ์” เล็งผล 3 ประการ คือ 1.สร้างเอกภาพใหม่ภายในพรรค 2.สร้างจักรภาพใหม่ด้วยการปฏิรูปพรรค และ 3.สร้างชัยชนะในการเลือกตั้ง

“ผมพร้อมจะเป็นโซ่ข้อกลาง เพื่อสร้างความเป็นเอกภาพในพรรค พร้อมทั้งปฏิรูปพรรคและเตรียมความพร้อมในการเลือกตั้ง” คำขายของ “อลงกรณ์” ผู้ท้าชิงหมายเลข 3 ชิงจังหวะ-เวลาก่อนการดีเบต

สำหรับจุดยืนทางการเมืองโดยการนำของเขา 1.จะไม่บอยคอตการเลือกตั้ง-ยึดมั่นระบบรัฐสภา 2.พรรคการเมืองที่ได้เสียงอันดับ 1 จะได้สิทธิ์การจัดตั้งรัฐบาลก่อน 3.ไม่ยอมรับนายกฯคนนอก-พล.อ.ประยุทธ์ต้องอยู่ 1 ใน 3 บัญชีนายกฯ

“พร้อมคุยกับทุกพรรคการเมืองที่ผ่านการเลือกตั้ง ส่วนการร่วมรัฐบาลอยู่ที่จุดยืนและนโยบายของพรรคประชาธิปัตย์ พร้อมเป็นทั้งฝ่ายค้านและฝ่ายรัฐบาล”

ขณะที่ “หมอวรงค์” ผู้ต่อกรหมายเลข 2 ช่วงชิงความได้เปรียบ-ก่อนเวลาดีเบต ประกาศจุดยืน “ประชาธิปไตย สวัสดิการ”

ตรงข้าม “เสรีประชาธิปไตย” พร้อมกับ “กลุ่มเพื่อนหมอวรงค์” ผู้สนับสนุนอย่างเป็นทางการ-ตีกลองสนับสนุน

“ผมมีความมุ่งมั่น มีความตั้งใจสูง มีความตั้งใจอยากให้ประเทศดีขึ้น ไม่ทะเลาะเบาะแว้งกับใคร ไม่ให้ประเทศเสียเวลา ผมเชื่อว่าถ้าประชาชนให้ความไว้วางใจ ความตั้งใจจากใจที่จะมาทำงานเช่นนี้ ประชาชนคนไทยจะได้ประโยชน์ทุกคน”

“หมอวรงค์” ประกาศจุดยืนทางการเมืองหากได้เขาเป็นหัวหน้าพรรค 1.ต่อต้านการทุจริต 2.เคารพกฎหมาย-กระบวนการยุติธรรม 3.ต่อต้านการใช้เสียงข้างมากโดยมิชอบ-เพื่อประโยชน์ส่วนตน และ 4.เทิดทูนสถาบันพระมหากษัตริย์

“ณ จุดยืนทางการเมืองของเราร่วมมือกับทุกพรรคการเมือง จะไม่สนใจว่าคนคนนั้นคือใคร ไม่ว่าผมจะชนะเลือกตั้งได้เป็นหัวหน้าพรรคหรือแพ้เลือกตั้ง”

ด้าน “อภิสิทธิ์-แชมป์เก่า” ผู้เตรียมป้องกันแชมป์หมายเลข 1 ที่ประกาศจุดยืน “เสรีนิยมประชาธิปไตย” เป็น “ทางหลัก” ของพรรค-ประเทศ “ลับฝีปาก” ก่อนการดีเบต-วันจริง

“ประชาธิปัตย์ต้องการเป็นหลักให้กับบ้านเมือง ถ้าเป็นหัวหน้าเราต้องพาบ้านเมืองออกจากวังวนเดิม วันนี้เรามาคิดว่า เอา คสช. ไม่เอา คสช. ทักษิณ เพื่อไทย มันไม่ใช่หรอก ประเทศต้องเดินไปข้างหน้า”

“ต้องหารัฐบาลที่มาจากการเลือกตั้ง เป็นประชาธิปไตย มีความชอบธรรม มีธรรมาภิบาล แก้ปัญหาสำคัญ เช่น เศรษฐกิจพื้นฐานที่คนรอคอยอยู่ได้ มีความซื่อสัตย์พอที่จะทำให้ประชาธิปไตยยั่งยืนอยู่ได้”

“ไม่เช่นนั้นก็จะกลับไปสู่รูปแบบเดิม มีเลือกตั้ง มีรัฐบาล มีโกง มีประท้วง มีปฏิวัติ มีรัฐธรรมนูญ มีเลือกตั้ง มีรัฐบาลที่มีปัญหาอีก เราควรจะหลุดพ้นจากตรงนั้นได้แล้ว เราเสียโอกาสมามากแล้ว”

นอกจากการชิงไหวชิงพริบ-ชิงคะแนนเสียงทั้งก่อน-หลังดีเบตแล้ว “แท็กติก” นอกเวทีก็ถูกงัดออกมาสร้างความเผ็ดร้อนมากขึ้น โดยเฉพาะกรณีของ “หมอวรงค์” ที่ล่าสุด มีคลิปภาพ-เสียงหมอวรงค์กล่าวบางช่วง-บางตอน เมื่อ 23 ตุลาคม 2561 จ.ชุมพร

จนถูกตีความ-มีนัยว่าต้องการ “ล้างบาง” อดีต ส.ส.ปชป. เจ้าของพื้นที่เดิมที่สนับสนุนนายอภิสิทธิ์ และ “สนับสนุน” กองหนุนของหมอวรงค์ให้ได้เป็นผู้สมัคร ส.ส.ในการเลือกตั้งครั้งหน้า ถ้า “หมอวรงค์” ได้เป็นหัวหน้าพรรค

“ถ้าดูคลิปดี ๆ ผมประกาศชัดเจนว่า พื้นที่ไหนที่มีการแข่งขันแบบสูสี ผมจะให้สมาชิกพรรคเป็นคนตัดสินในการทำไพรมารี่โหวต เป็นธรรมทั้งสองฝ่าย คณะกรรมการบริหารพรรคชุดเก่าให้กรรมการตัดสิน แต่ถ้าเลือกผม ผมจะให้สมาชิกตัดสิน”

ส่วนการใช้แท็กติก-ชูแคมเปญ “เลือกหมอวรงค์เป็นหัวหน้าพรรค ได้ถาวรเป็นเลขาธิการพรรค” หรือ “คลิปล้างบาง”

ก๊ก-ก๊วน “คู่แข่ง” จะทำให้ ปชป.แตกแยก-ร้าวลึก-ซ้ำรอยเหตุการณ์ 10 มกราฯหรือไม่นั้น เขาปฏิเสธทันควัน

“ผมไม่ทราบ แนวคิดของผมคือ พวกเราคือประชาธิปัตย์ด้วยกัน เราไม่เคยมีความคิดว่าจะมาแบ่งแยก แม้แต่เพื่อนบางคนบอกจะไปล้างบาง จบคือจบ”

บนเวที-หลังฉากการดีเบตอาจจะลุกเป็นไฟ แต่หลัง 11 พฤศจิกายน 2561 วันที่ประกาศชื่อหัวหน้าพรรคคนใหม่อย่างเป็นทางการ จุดยืน-ทิศทางพรรคเก่าแก่ 72 ปี จะแจ่มชัดยิ่งขึ้น