“อนุพงษ์” ระบุไม่เกิดประโยชน์หากตอบโต้กระแสวิจารณ์ใช้ไทยนิยมยั่งยืนหาเสียง ชี้โครงการดี-ไม่ดีให้ปชช.ตัดสินเอง

แฟ้มภาพ

เมื่อวันที่ 6 พ.ย. 2561 เวลา 8.00 น. พล.อ.อนุพงษ์ เผ่าจินดา รัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย ให้สัมภาษณ์ก่อนการประชุมคณะรัฐมนตรี (ครม.) ถึงกรณีการวิจารณ์โครงการไทยนิยมยั่งยืนได้พูดถึงเรื่องโครงการไทยนิยมไม่ต่างจากนโยบายประชานิยม ที่เคยทำกันมา มีปัญหาเรื่องสร้างความยั่งยืนได้จริงหรือไม่นั้นว่า

“โครงการไทยนิยมยั่งยืนเป็นโครงการที่ดี ที่ลงไปดูความต้องการของประชาชนแล้วดำเนินการ ซึ่งในโครงการนี้ก็มีหลายกระทรวงดูแลอยู่ อย่างเช่น โครงการที่เป็นหนึ่งส่วนของกระทรวงมหาดไทยที่เรียกว่า โครงการหมู่บ้านละสองแสน ที่มีโครงการเกือบ 9 หมื่นโครงการ ซึ่งเราก็ได้ดำเนินการเป็นอย่างดีตามความต้องการของกระทรวง แต่ก็มีข้อกำหนดว่าของบางอย่างห้ามทำ เช่น การไปซื้อครุภัณฑ์มาเฉย ๆ อย่างนี้ไม่ได้ ซึ่งจะต้องเป็นการดำเนินการเพื่อให้เกิดความเข้มแข็ง เราก็ได้ดำเนินการตามสิ่งที่ควรทำเพื่อสร้างความเข้มแข็งให้กับเขา

แต่ก็ยังมีการมาวิพากษ์วิจารณ์โดยไม่มีเหตุผล ยกเหตุที่ไม่เกี่ยวกับโครงการขึ้นมาที่กล่าวอ้างเพียงหนึ่งหรือสองประเด็นก็มาบอกว่าโครงการนี้ไม่ดี ซึ่งในส่วนนี้ต้องให้ประชาชนมีความเข้าใจ ซึ่งผมว่าในอีกมุมมองหนึ่ง ประชาชนก็คงจะเข้าใจว่าคนพวกนี้ทำอะไร อย่างไร ผมให้ประชาชนตัดสินก็แล้วกัน”

ด้านการเบิกจ่ายในโครงการไทยนิยม พล.อ.อนุพงษ์ ได้บอกว่า ในส่วนของการเบิกจ่ายจะต้องดำเนินการตามขั้นตอนให้ถูกต้อง ถ้าทำตามขั้นตอนที่ถูกต้องมันก็จะต้องสามารถเบิกจ่ายได้ แต่ถ้ามันเบิกจ่ายไม่ได้ก็หมายความว่ามันต้องผิดในขั้นตอนอะไรสักอย่าง ซึ่งในการตรวจสอบตรงนี้มีคนดำเนินการอยู่แล้ว

ส่วนกระแสข่าวกลุ่มพรรคการเมืองนำประเด็นโครงการไทยนิยมยั่งยืนของรัฐบาลมาโจมตี ว่าเป็นการหาเสียง นั้น พล.อ.อนุพงษ์ ยืนยันว่า


“การเดินพบปะประชาชน ผมว่าเราทำงานตามอำนาจหน้าที่ไป ถ้าเราไปตอบโต้กันมันก็จะเป็นประเด็น เป็นเหยื่อแร้ง กา ไม่ได้เกิดประโยชน์อะไรกับใครเลย ดังนั้นก็ตั้งหน้าตั้งตาทำงานในส่วนของที่ตัวเองทำไปด้วยความบริสุทธิ์ ยุติธรรม เจอผิดที่ไหนก็ดำเนินการตามกฎหมายไป อะไรที่มันไม่มีแก่น การพูดจาอะไรที่มันไม่มีแก่นสารก็ให้สังคมเป็นผู้พิจารณาเอง เจ้าหน้าที่ก็ทำตามหน้าที่ไป ซึ่งมีหน้าที่มากมายที่ต้องทำ ซึ่งถ้าสามารถหาคนทำผิดได้ไม่ว่าเรื่องใด วิจารณ์ในสิ่งที่สร้างสรรค์ได้ บ้านเมืองมันเดินได้ แต่ถ้าทำกลับกันก็น่าคิดนะว่าสังคมไทยเราจะเป็นอย่างไรในอนาคต”