“สมศักดิ์”ป้อง”คสช.”ไม่ได้สืบทอดอำนาจ บอก”บิ๊กตู่”มาคนเดียว

เมื่อเวลา 10.00 น.​ วันที่​ 3 ธันวาคม​ ที่พรรคพลังประชารัฐ นายสมศักดิ์ เทพสุทิน แกนนำพรรคพลังประชารัฐ (พปชร.)​ ในฐานะประธานคณะกรรมการเฉพาะกิจในการรณรงค์​ การหาเสียงเลือกตั้ง เป็นประธานประชุมคณะกรรมการเฉพาะกิจฯ โดยที่ประชุมส่วนใหญ่หารือถึงแนวทาง วิธีการในการหาเสียง ให้เป็นไปตามกฎหมาย และไม่เข้าข่ายสุ่มเสี่ยงในระหว่างที่ยังไม่ปลดล็อกการเมือง โดยนายสมศักดิ์ กล่าวว่า ประเด็นที่เป็นห่วงเกรงว่าจะถูกนำไปพูดให้เป็นประเด็นทางการเมืองคือ การสืบทอดอำนาจ หาก พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและหัวหน้าคณะรักษาความสงบแห่งชาติ (คสช.) ได้รับการเสนอชื่อเป็นนายกฯ จะมีการวิจารณ์ว่า พล.อ.ประยุทธ์ สืบทอดอำนาจ ซึ่งมีพรรคการเมืองบางพรรคพูดเรื่องนี้อยู่เสมอ และเชื่อว่ายิ่งใกล้วันรับสมัคร ส.ส. และลงคะแนนจะยิ่งเอาประเด็นเหล่านี้ขึ้นมาพูด โดยไม่เอาเรื่องนโยบายที่เป็นประโยชน์มานำเสนอ แต่จะเอาเรื่องที่พูดแล้วทำให้เกิดความขัดแย้งทางการเมืองมาพูด เท่าที่ตนลงสมัครรับเลือกตั้งมาหลายครั้ง ไม่ได้มองว่าเป็นเรื่องการสืบทอดอำนาจแน่นอน ถ้าดูจากเรื่องการแต่งตั้งโยกย้ายนายทหารของ พล.อ.ประยุทธ์ เช่น การตั้งผู้บัญชาการ​ทหารบก​(ผบ.ทบ.) จะมาจากสายบูรพาพยัคฆ์ แต่ในสมัย พล.อ.ประยุทธ์ ผบ.ทบ.ที่ได้รับการแต่งตั้งก็ไม่ได้เป็นสายบูรพาพยัคฆ์ จึงชี้ให้เห็นว่านายกฯไม่ได้คิดที่จะสืบทอดอำนาจ แต่คืนความชอบธรรมให้แก่กองทัพ

นายสมศักดิ์ กล่าวว่า จากการประชุมพรรคพลังประชารัฐครั้งแรก ผู้ที่ประสงค์จะลงสมัครรับเลือกตั้งทั้ง 350 เขต ไม่เห็นมีชื่อนายพลสักคน ไม่มีฝ่ายของทหารเข้ามาเลย และผู้ที่จะอยู่ในบัญชีรายชื่อก็ไม่มีทหาร จึงคิดว่าไม่น่าจะมีการสืบทอดอำนาจ และขอเรียนว่าอย่าเอาสิ่งเหล่านี้มาพูดให้บ่อย เพราะการเมืองวันนี้ต้องหลีกเลี่ยงความขัดแย้ง เพื่อไปสู่การกินดีอยู่ดีของประชาชนให้มาก​ จะเป็นประโยชน์กว่า ไม่ใช่พูดเอาไว้แล้วเวลาเลือกตั้งไม่ชนะ จะเอาเรื่องเหล่านี้มาเป็นเงื่อนไขของความขัดแย้ง ซึ่งตนกังวลมากว่าหลังเลือกตั้งจะสร้างปัญหา และทำให้เกิดความไม่สงบสุขขึ้นมาอีก เพราะที่ผ่านมาหลังความวุ่นวาย​ บ้านเมืองเสียโอกาส เสียเวลาการทำงานให้ประชาชนมาหลายปี

ผู้สื่อข่าวถามถึงกรณีนายสุวิทย์ เมษินทรีย์ รองหัวหน้าพรรค พปชร. ระบุชัดว่าจะเสนอชื่อ พล.อ.ประยุทธ์ เป็นนายกฯ นายสมศักดิ์ กล่าวว่า ถ้า พล.อ.ประยุทธ์ เป็นนายกฯ แต่ไม่มีทหารหรือใครมาเป็น ส.ส. จะไปสืบทอดอำนาจได้อย่างไร เพราะในแต่ละเขตเลือกตั้งไม่มีทหารเลย ตนไม่ได้ปฏิเสธว่าใครจะมาเป็นแคนดิเดตนายกฯ เพราะเป็นเรื่องของกรรมการบริหารพรรคจะพิจารณา และวันนี้ยังไม่รู้ว่าเป็นใคร

เมื่อถามว่า ฝ่ายการเมืองระบุว่าคะแนนนิยมของพรรค พปชร. ในภาคอีสานไม่ได้สูงอย่างที่นายสุริยะ จึงรุ่งเรืองกิจ อ้างว่าจะได้ 50 ที่นั่ง นายสมศักดิ์ กล่าวว่า ถ้าประเมินไปแล้วจะเกิดการโต้เถียงและวิจารณ์ว่าใช่หรือไม่ใช่ แต่เท่าที่ดูนโยบายของพรรคและผลงานที่ผู้สมัคร ส.ส. นำไปอ้างอิง​ ยังเห็นว่าเป็นบวก ในขณะที่พรรคอื่นที่ลงไปในพื้นที่ยังไม่เห็นว่าพูดถึงนโยบายอะไรนอกจากการสืบทอดอำนาจ ความขัดแย้ง เรื่องเผด็จการ มีอยู่เท่านั้น ซึ่งตนจะพยายามทำความเข้าใจในเรื่องเหล่านี้ว่าไม่ใช่อย่างที่วิจารณ์

เมื่อถามว่า มีการตั้งข้อสังเกตว่าพรรค พปชร.ได้เปรียบพรรคอื่นในหลายเรื่อง นายสมศักดิ์ กล่าวว่า วันนี้พรรค พปชร. เสียเปรียบหลายเรื่อง เช่น ตั้งพรรคช้า มีผู้สมัครหน้าใหม่จำนวนมาก แต่พยายามคัดสรรผู้สมัครหน้าใหม่ เพื่อมาทำการเมืองแบบใหม่ และในสังคมไม่มีอะไรที่เสียเปรียบหรือได้เปรียบทั้งหมด ต้องคละกันไป แต่เวลานี้ยังไม่เห็นพรรคการเมืองอื่นพูดเรื่องนโยบายเลย

เมื่อถามว่า การชู พล.อ.ประยุทธ์ เป็นนายกฯ จะเป็นจุดดีหรือจุดด้อยต่อพรรค พปชร.อย่างไร นายสมศักดิ์ กล่าวว่า ยอมรับว่าเป็นทั้งสองอย่าง คือ จะมีคนช่วยหาเสียงให้ พล.อ.ประยุทธ์ แต่เรื่องคะแนนเสียงของสมาชิกอาจจะมีปัญหาบ้าง แต่เชื่อว่าไม่น่าจะมีอะไรยุ่งยาก ถ้ามีคราบไคลของทหารเข้ามาก็หลีกเลี่ยงไม่ได้ที่จะถูกวิจารณ์ แต่ถ้ามี พล.อ.ประยุทธ์ คนเดียว ถามว่าจะไปสืบทอดอำนาจอย่างไร

 

ที่มา มติชนออนไลน์