ไทม์ไลน์ กกต.รับสมัครบัญชีนายกรัฐมนตรีวันสุดท้าย

เมื่อเวลา 08.53 น. วันที่ 8 ก.พ. 62 วันสุดท้ายในการยื่นบัญชีรายชื่อนายกรัฐมนตรีที่สำนักงานคณะกรรมการการเลือกตั้ง (กกต.) ร.ท.ปรีชาพล พงษ์พานิช หัวหน้าพรรคไทยรักษาชาติ (ทษช.) พร้อมแกนนำพรรค และคณะกรรมการบริหารพรรค เดินทางมายื่นเอกสาร ที่ทูลกระหม่อมหญิงอุบลรัตน์ มหิดล ทรงลงพระนามแล้ว

เวลา 09.10 น. ร.ท.ปรีชาพลและฝ่ายกฎหมายพรรค ได้ยื่นบัญชีรายชื่อนายกฯของพรรค ต่อเจ้าหน้าที่รับสมัครของ กกต. ทั้งนี้ หนังสือยินยอมหลังได้รับการเสนอเป็นแคนดิเดต ทษช.เขียนด้วยลายพระหัตถ์ ระบุพระนามว่า “ทูลกระหม่อมหญิงอุบลรัตน์ มหิดล”

ต่อมา ร.ท.ปรีชาพลให้สัมภาษณ์ภายหลังยื่นบัญชีรายชื่อนายกรัฐมนตรีว่า คณะกรรมการบริหารพรรคได้ประชุมกันและมีมติเสนอชื่อทูลกระหม่อมหญิงอุบลรัตนราชกัญญา สิริวัฒนาพรรณวดี เป็นนายกฯของพรรค ซึ่งกรรมการบริหารพรรคเห็นพ้องต้องกันว่าทูลกระหม่อมเป็นผู้ที่มีความรู้ความสามารถ เป็นชื่อที่มีความเหมาะสมที่สุด จากนั้นจึงได้ติดต่อและประสาน โดยทูลกระหม่อมได้มีพระเมตตาตอบรับและยินยอมให้พวกเรา ทษช.เสนอชื่อท่าน เพื่อให้สภาผู้แทนราษฎรเห็นชอบเป็นนายกฯในนาม ทษช. ในรายละเอียดคงไม่เหมาะสมที่เราจะไปพูดแทนท่าน ท่านทำงานเพื่อสังคมมาโดยตลอด ไม่ว่าจะเป็นโครงการทูบีนัมเบอร์วัน ช่วยเหลือเยาวชนให้ห่างไกลยาเสพติด หรือการที่พระองค์เป็นผู้แทนการท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย ตลอดระยะเวลา 10 กว่าปีที่ผ่านมา ท่านได้เดินทางทั้งในและต่างประเทศ ทำให้เห็นถึงความเดือดร้อนและปัญหาของประชาชน

วันนี้จึงถือว่าเป็นพระเมตตา ที่ท่านได้เสียสละและเมตตาลงมาทำงานให้กับพี่น้องประชาชน และโดยเฉพาะอย่างยิ่งท่านให้เกียรติตอบรับเป็นบัญชีนายกฯของ ทษช.

ผู้สื่อข่าวถามว่า ทูลกระหม่อมให้เหตุผลในการตอบรับอย่างไร

ร.ท.ปรีชาพลกล่าวว่า คงจะไปตอบแทนท่านไม่ได้ แต่คิดว่าพรรคเราเน้นในเรื่องความคิดทันสมัย การก้าวทันการเปลี่ยนแปลงของโลก และเท่าที่เห็นท่านเป็นผู้ที่มีบุคลิกและแนวคิดซึ่งสอดคล้องกับ ทษช. และคิดว่าเป็นปัจจัยหนึ่ง แต่ขออนุญาตที่จะไม่ก้าวล่วงไปพูดแทนท่าน

เมื่อถามว่าก่อนหน้านี้มีกระแสเรียกร้องให้พรรคเสนอชื่อผู้สมัคร ส.ส.ของพรรคเป็นแคนดิเดตนายกฯ ร.ท.ปรีชาพลกล่าวว่า รัฐธรรมนูญฉบับนี้เราไม่ได้เป็นคนร่าง แต่ต้องเข้ามาเป็นผู้เล่นในกฎหมายที่เราไม่ได้ร่าง ฉะนั้นสิ่งที่เราดำเนินการยืนยันว่าเป็นไปโดยชอบด้วยกฎหมายและรัฐธรรมนูญทุกประการ เราเป็นฝ่ายประชาธิปไตย กฎกติกาเป็นอย่างไร เราพร้อมปฏิบัติตาม เมื่อผู้เกี่ยวข้องเสนอกฎหมายมาแบบนี้เราก็ยื่นและเสนอตามขั้นตอนทุกประการ

กกต.ตรวจคุณสมบัติก่อนหาเสียง

ผู้สื่อข่าวถามว่า ท่านจะมาช่วยสมาชิกพรรคหาเสียงหรือไม่ ร.ท.ปรีชาพลกล่าวว่า พวกเรามีนโยบายและแผนงานหาเสียงอยู่แล้ว ส่วนรายละเอียดเกี่ยวกับท่านต้องรอให้มีพระเมตตา หลังจาก กกต.ได้พิจารณาและตรวจสอบคุณสมบัติบัญชีรายชื่อนายกฯอย่างเป็นทางการแล้ว จากนั้นจะได้แถลงอย่างเป็นทางการในรายละเอียดว่า ท่านจะได้มาช่วยหรือไม่อย่างไร

เมื่อถามว่า การเสนอชื่อดังกล่าวทำให้ ทษช.ได้เปรียบในการเลือกตั้งหรือไม่ ร.ท.ปรีชาพลกล่าวว่า ความได้เปรียบเสียเปรียบขึ้นอยู่กับพี่น้องประชาชนจะพิจารณา ทุกพรรคมีสิทธิในการเสนอรายชื่อให้ประชาชนพิจารณา คิดว่าสิ่งเหล่านี้เป็นเรื่องที่พรรคทำตามกฎหมายทุกขั้นตอน ไม่มีเรื่องได้เปรียบเสียเปรียบทั้งสิ้น
ไม่คิดไกลถึงแกนนำตั้งรัฐบาล

เมื่อถามว่า การตัดสินใจดังกล่าวถือเป็นการชิงเพื่อเป็นแกนนำจัดตั้งรัฐบาลหรือไม่ ร.ท.ปรีชาพลกล่าวว่า อาจเร็วไปที่จะบอกว่าพรรคจะเป็นแกนนำจัดตั้งรัฐบาล ทุกอย่างขึ้นอยู่กับการลงคะแนนเสียงของประชาชน และจะต้องมีการหารือกับพรรคที่มีแนวคิดเดียวกัน ซึ่งมีความชัดเจนอยู่แล้วว่า เราสนับสนุนเรื่องของประชาธิปไตย และทำทุกวิถีทางเพื่อสกัดกั้นการสืบทอดอำนาจ ฉะนั้นคงได้มีการพูดคุยกันกับพรรคที่มีแนวคิดเดียวกันต่อไปหลังผลการเลือกตั้งออกมา ซึ่งเรายืนยันว่าจุดยืนของพรรคยังเป็นหลักการประชาธิปไตย เพราะประชาธิปไตยเป็นสิ่งสวยงาม สามารถให้สิทธิเสรีภาพกับประชาชน และยังเป็นกุญแจนำไปสู่การพัฒนาและนำพี่น้องประชาชนไปสู่การกินดีอยู่ดี การแก้ไขปัญหาเศรษฐกิจที่ประเทศไทยประสบปัญหามานาน สิ่งสำคัญที่สุด ประชาธิปไตยเป็นกุญแจเบื้องต้นหรือบันไดขั้นแรก ที่เราต้องข้ามไปให้ได้ เพื่อนำไปสู่บันไดขั้นที่สูงขึ้นต่อ ๆ ไป เพื่อความเป็นอยู่ที่ดีของพี่น้องประชาชน

ปัดตั้งรัฐบาลแห่งชาติ

เมื่อถามว่า ปรากฏการณ์ดังกล่าวจะนำมาสู่การตั้งรัฐบาลแห่งชาติหรือไม่ ร.ท.ปรีชาพลกล่าวว่า ตรงนี้เป็นกระบวนการตามรัฐธรรมนูญทุกประการ ถ้าบอกว่าเป็นรัฐบาลแห่งชาติก็คงไม่ใช่ เป็นเรื่องของการเข้าสู่กระบวนการการเลือกตั้งให้พี่น้องประชาชนได้ใช้สิทธิใช้เสียง ทุกอย่างเป็นไปตามที่รัฐธรรมนูญได้ระบุไว้ทุกอย่าง

“เป็นหน้าที่ กกต.จะพิจารณา ทษช.หารือข้อกฎหมายแล้วไม่มีปัญหา” หัวหน้าพรรค ทษช.ตอบคำถามกรณีกฎหมายห้ามนำสถาบันมาให้หาเสียงเลือกตั้ง

พระประสงค์สร้างปรองดอง

ทั้งนี้ ทษช.ออกเอกสารแถลงการณ์ ใจความว่า “พรรคไทยรักษาชาติรู้สึกเป็นเกียรติอย่างยิ่งที่ได้รับพระเมตตาจากทูลกระหม่อมหญิงอุบลรัตน์ มหิดล ในการรับการเสนอชื่อเป็นนายกรัฐมนตรีในนามพรรค ทูลกระหม่อมทรงจบการศึกษาปริญญาตรี และปริญญาโทจากมหาวิทยาลัยระดับแนวหน้าของสหรัฐอเมริกา คือ Massachusetts Institute of Technology (MIT) และ University of California, Los Angeles (UCLA) ตามลำดับ ทูลกระหม่อมได้ทรงใช้ชีวิตเยี่ยงสามัญชน โดยการทำงานเพื่อส่งตัวเองเรียนในขณะที่พำนักอยู่ ณ ประเทศสหรัฐอเมริกา และทรงได้ลาออกจากฐานันดรศักดิ์ตั้งแต่ปี พ.ศ. 2515”

“เมื่อกลับมาพำนักอยู่ที่ประเทศไทยก็ได้จัดตั้งโครงการ TO BE NUMBER ONE เพื่อจูงใจให้เยาวชนไทยห่างไกลยาเสพติด โดยเสด็จไปทั่วประเทศ จึงได้เห็นความทุกข์ยากของประชาชน และเป็นห่วงอยากมีส่วนได้ช่วยเหลือให้คนไทยหลุดพ้นจากความยากจน และมีอนาคตที่ดี ประกอบกับการที่ได้เป็นผู้แทนไปส่งเสริมการท่องเที่ยวให้กับการท่องเที่ยวแห่งประเทศไทยมากว่า 10 ปี จึงทรงคิดว่าถึงเวลาแล้วที่จะอาสามาทำหน้าที่นายกรัฐมนตรี เพื่อให้ช่วยเหลือประชาชนและประเทศชาติ โดยใช้ความรู้ความสามารถ และประสบการณ์ที่ได้สั่งสมมาในด้านต่าง ๆ ทั้งในและต่างประเทศอย่างเต็มที่”

“ทูลกระหม่อมมีพระประสงค์ที่จะสร้างความเจริญให้กับประเทศ และความอยู่ดีกินดีให้กับประชาชนด้วยการนำเทคโนโลยีสมัยใหม่มาปรับใช้ในการพัฒนาเศรษฐกิจและสังคม เพื่อให้ประเทศไทยทันสมัยทันโลก ยิ่งไปกว่านั้นคือ การสร้างความสามัคคีปรองดองให้กับคนในชาติ นโยบายต่าง ๆ ของทูลกระหม่อม พรรคไทยรักษาชาติ (ทษช.) จะน้อมมาปฏิบัติอย่างเต็มกำลังความสามารถ พรรคไทยรักษาชาติ (ทษช.) จึงขอกราบเรียนมายังพี่น้องประชาชน เพื่อโปรดทราบในพระเมตตาครั้งนี้” เอกสารแถลงการณ์ระบุ

ทรงลาออกจากฐานันดรศักดิ์

สำหรับสถานภาพทูลกระหม่อมหญิงอุบลรัตน์ มหิดล ทรงนำความขึ้นกราบบังคมทูลพระกรุณาขอพระราชทานพระบรมราชานุญาต ลาออกจากฐานันดรศักดิ์แห่งพระราชวงศ์ ตามประกาศพระบรมราชโองการ ในราชกิจจานุเบกษา เมื่อวันที่ 25 กรกฎาคม 2515 ความว่า “ด้วยสมเด็จพระเจ้าลูกเธอ เจ้าฟ้าอุบลรัตนราชกัญญา ได้นำความขึ้นกราบบังคมทูลพระกรุณาเป็นลายลักษณ์อักษรว่า ได้ทรงพระดำริเห็นถ่องแท้ด้วยพระองค์เองแล้วว่า การดำรงฐานันดรศักดิ์แห่งพระราชวงศ์ในฐานะสมเด็จเจ้าฟ้าเป็นกิจพิเศษ กอปรด้วยความรับผิดชอบอย่างสูงหลายด้าน ไม่ทรงสามารถจะปฏิบัติให้สมบูรณ์โดยตลอดได้ จึงขอพระราชทานกราบถวายบังคมลาออกจากฐานันดรศักดิ์แห่งพระราชวงศ์ และขอรับสนองพระเดชพระคุณในฐานะแห่งสามัญชน ความทราบฝ่าละอองธุลีพระบาทแล้ว พระราชทานพระบรมราชานุญาต”

“บิ๊กตู่” แคนดิเดตนายก พปชร.

ด้าน พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและหัวหน้าคณะรักษาความสงบแห่งชาติ (คสช.) เดินทางถึงตึกไทยคู่ฟ้า ทำเนียบรัฐบาล ท่ามกลางสื่อมวลชนทั้งไทยและต่างประเทศที่ปักหลักทำข่าวการตอบรับ-ไม่ตอบรับอยู่ในบัญชีรายชื่อของพรรคพลังประชารัฐ (พปชร.) หลังจากนั้นเวลา 09.15 น. ทันทีที่ พล.อ.ประยุทธ์เดินทางมาถึง ได้ส่งสารจากนายกรัฐมนตรี ลงวันที่ 8 ก.พ. 62 ใจความว่า

พี่น้องประชาชนชาวไทยที่รักทุกท่าน นับเป็นเวลากว่า 10 ปี ก่อนที่คณะรักษาความสงบแห่งชาติและรัฐบาลนี้จะเข้ามาบริหารประเทศ พี่น้องทั้งหลายคงจำได้ว่า บ้านเมืองเราขณะนั้น ได้เกิดความขัดแย้งทางการเมือง ประชาชนแตกแยกเป็นกลุ่มเป็นฝ่าย บางครั้งเกิดความรุนแรงถึงขั้นมีการใช้กำลังและอาวุธสงครามเข้าทำร้ายกัน การทำลายสถานที่ราชการ การทำลายการประชุมระดับชาติ จนเป็นอันตรายถึงชีวิตและทรัพย์สิน ส่งผลกระทบต่อวิถีชีวิตและการทำมาหากินของพี่น้องประชาชน ตลอดจนชื่อเสียงและความเชื่อมั่นในเสถียรภาพของประเทศชาติ

สถานการณ์เหล่านั้นเกิดขึ้นต่อเนื่องจนถึงปี 2557 ผลก็คือการพัฒนาประเทศ การลงทุนและเศรษฐกิจเกิดสภาวะชะงักงัน การใช้อำนาจนิติบัญญัติ อำนาจบริหาร อำนาจตุลาการ รวมถึงการบังคับใช้กฎหมายขององค์กรอิสระ และเจ้าหน้าที่ทุกฝ่าย ไม่ว่าตำรวจ ทหาร หรือพลเรือนไม่สามารถกระทำได้ตามวิถีทางแห่งประชาธิปไตย การดำเนินโครงการและการใช้จ่ายงบประมาณของรัฐ รวมถึงการจัดทำงบประมาณปี 2558 มีข้อติดขัดทางกฎหมาย มีทั้งทำได้และทำไม่ได้ในบางเรื่อง ขณะนั้นไม่มีทางออกหรือแนวโน้มว่าสถานการณ์จะกลับคืนสู่ความสงบเรียบร้อยได้อย่างไร ซึ่งนับเป็นวิกฤตการณ์ร้ายแรงและไม่เคยปรากฏขึ้นในประเทศมาก่อน

เมื่อคณะรักษาความสงบแห่งชาติ และรัฐบาลเข้ามาบริหารราชการแผ่นดิน ในช่วงเวลา 4 ปีเศษที่ผ่านมาก็ได้พยายามแก้ไขสถานการณ์จนกลับฟื้นคืนสู่สภาวะปกติ บ้านเมืองมีความสงบสุข อยู่รอดปลอดภัย ประชาชนดำเนินชีวิตได้เป็นปกติ ประเทศมีการพัฒนาขึ้นตามลำดับในทุก ๆ ด้าน ทั้งด้านเศรษฐกิจ การค้าขาย การลงทุน การท่องเที่ยว มีความมั่นคงทางการเมืองทั้งในและระหว่างประเทศ ไม่มีการชุมนุมประท้วงทางการเมืองหรือความเคลื่อนไหวใด ๆ ที่กระทบสิทธิเสรีภาพของประชาชนโดยรวม รัฐบาลสามารถบริหารประเทศได้อย่างมีเอกภาพจนได้รับการยอมรับจากต่างประเทศว่าสามารถแก้ไขปัญหาหมักหมมของประเทศที่การเมืองปกติไม่สามารถแก้ไขได้ ไม่ว่าจะด้วยข้อจำกัดทางกฎหมาย หรือเนื่องจากระยะเวลาการบริหารประเทศของแต่ละรัฐบาลที่สั้นและไม่ต่อเนื่อง ซ้ำยังมีการเกิดปัญหาความขัดแย้งต่าง ๆ ในสังคมอยู่เป็นระยะ

ประเทศต้องมีผู้นำยึดส่วนรวม

พี่น้องประชาชนที่รัก ประเทศชาติของเราจะต้องเดินไปข้างหน้า ภายใต้รัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พ.ศ. 2560 ที่ได้กำหนดให้มียุทธศาสตร์ชาติ 20 ปี และแผนปฏิรูปประเทศ เพื่อเป็นแนวทางและทิศทางของประเทศต่อไปในอนาคต เพื่อลูกหลานของเรา เพื่อเด็ก ๆ ในวันนี้จะได้มีอนาคตที่ดีในวันข้างหน้า อยู่ในประเทศที่มีความเจริญรุ่งเรือง มีความสงบสุขมั่นคง จึงมีความจำเป็นอย่างยิ่งที่พวกเราประชาชนทุกภาคส่วน จะต้องร่วมกันนำพาประเทศในช่วงเปลี่ยนแปลงอันสำคัญนี้ไปสู่จุดหมายปลายทางให้ได้ ที่สำคัญจะต้องมีรัฐบาลและผู้นำรัฐบาลที่ได้รับการยอมรับ ยึดถือประโยชน์ส่วนรวมมากกว่าส่วนตน และมีความมุ่งมั่นตั้งใจทำงานเพื่อพี่น้องประชาชนอย่างแท้จริง

“ผมขอขอบคุณพรรคพลังประชารัฐ ที่ได้ให้เกียรติเชิญผมเข้าอยู่ในบัญชีรายชื่อบุคคลที่จะเสนอเป็นนายกรัฐมนตรีในการเลือกตั้งทั่วไปครั้งนี้ ผมได้พิจารณาไตร่ตรอง และทบทวนอย่างรอบคอบแล้ว ในเรื่องนโยบายของพรรคว่าจะสามารถขยายผลสืบเนื่องสิ่งต่าง ๆ ที่คณะรักษาความสงบแห่งชาติและรัฐบาลนี้ได้ดำเนินการ หรือวางแนวทาง หรือริเริ่มไว้ได้หรือไม่ อีกทั้งพิจารณาหลาย ๆ มิติที่เกี่ยวข้อง ทั้งในเรื่องนโยบายและมาตรการด้านความมั่นคง เศรษฐกิจ สังคม การดูแลพี่น้องประชาชนทุกภาคส่วน ความต่อเนื่องในการบริหารและพัฒนาประเทศ ในห้วงเวลาการเปลี่ยนแปลงที่สำคัญดังที่กล่าวข้างต้น รวมทั้งพิจารณาภาพรวมของพรรคซึ่งประกอบด้วยสมาชิกหลากหลาย เช่น ตัวแทนภาคประชาชน ทั้งคนรุ่นใหม่ นักวิชาการ นักธุรกิจ ที่มีความรู้ความสามารถ ตลอดจนนักการเมืองที่มีประสบการณ์ ถึงแม้บางคนเคยเป็นคู่ขัดแย้งทางการเมืองก็ตาม และพิจารณาโอกาสที่จะได้รับความร่วมมือจากทั้งภาครัฐและภาคเอกชนตามแนวทางประชารัฐ”

สละชีวิตปกป้องแผ่นดินไทย

“การตัดสินใจครั้งนี้ไม่ง่ายนัก เพราะเป็นช่วงเวลาที่สำคัญของประเทศ ถึงแม้ก่อนหน้านี้ผมจะเป็นทหารมาตลอดชีวิต แต่ผมเป็นคนหนึ่งที่พร้อมจะสละชีวิตเพื่อปกป้องผืนแผ่นดินไทย และผมมีความมั่นใจ ตั้งใจอย่างแน่วแน่ว่า จะสามารถร่วมมือร่วมใจกับพี่น้องประชาชน นำพาประเทศของเรา ก้าวไปข้างหน้าด้วยกันได้อย่างมีความสงบสุข มีความสามัคคี ไม่มีความขัดแย้งในสังคมอีกต่อไป”

“ดังนั้น ผมจึงขอตอบรับการเชิญโดยยินยอมให้พรรคพลังประชารัฐเสนอชื่อให้สภาผู้แทนราษฎรพิจารณาให้ความเห็นชอบแต่งตั้งเป็นนายกรัฐมนตรี ทั้งนี้ผมขอยืนยันว่า ผมมิได้มุ่งหวังจะสืบทอดอำนาจใด ๆ เพียงแต่มุ่งหวังถึงผลประโยชน์ของประเทศชาติและประชาชนโดยรวมเป็นสำคัญอย่างแท้จริง โดยจะเร่งบริหารและพัฒนาประเทศให้มีความเจริญรุ่งเรืองต่อไป”

ผมมีความคาดหวังว่า ในการเลือกตั้งทั่วไปที่จะเกิดขึ้นในระยะเวลาอันใกล้นี้ เราจะได้รัฐบาลและสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรที่มีประสิทธิภาพ มีธรรมาภิบาล ไม่มีการใช้วัฒนธรรมการเมืองเดิม ๆ ที่มีการต่อรองผลประโยชน์หรือตำแหน่งเพื่อกลุ่มของตนเอง เพื่อให้ได้คนดี มีความสามารถมาบริหารราชการ โดยทุกคนต้องเสียสละทำงานเพื่อส่วนรวมเท่านั้น ผมพร้อมจะร่วมมือทำงานกับทุกพรรคการเมืองที่มีอุดมการณ์และจุดมุ่งหมายเดียวกัน คือ “เพื่อชาติ ศาสน์ กษัตริย์ และประชาชน” ขอขอบคุณพรรคพลังประชารัฐอีกครั้ง และขอให้ทำหน้าที่ด้วยความระมัดระวังภายใต้กฎหมาย และกติกาที่กำหนด สร้างมิตร สร้างความสามัคคี มุ่งทำบ้านเมืองให้เกิดสันติสุข เจริญรุ่งเรืองต่อไปอย่างยั่งยืน

ตลาดหุ้นปิดลบ 1.43 จุด

นายวิจิตร อารยะพิศิษฐ ผู้อำนวยการฝ่ายวิจัย บล.เมย์แบงก์ กิมเอ็ง (ประเทศไทย) ประเมินว่าตลาดหุ้นจะตอบรับดี เนื่องจากตลาดหุ้นชอบความชัดเจน และเสถียรภาพในปัจจัยต่าง ๆ โดยเฉพาะการเมือง
สำหรับการกระแทกตัวลงมาของดัชนีในช่วงเปิดตลาด เป็นผลจากปัจจัยของตลาดหุ้นในภูมิภาค ผลจากการเจรจาการค้าระหว่างสหรัฐกับจีนที่กลับกลายเป็นสัญญาณลบ

นายประกิต สิริวัฒนเกตุ นักวิเคราะห์หลักทรัพย์อิสระ กล่าวว่า หลังพรรคขนาดใหญ่ประกาศแคนดิเดตนายกฯออกมา ทำให้ต้องติดตามผลการเลือกตั้งมากขึ้น จากก่อนหน้านี้หลายฝ่ายคาดการณ์ว่า พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา จะกลับมาเป็นนายกรัฐมนตรีอีกครั้ง ทำให้ต้องจับตาพรรคเพื่อไทยและไทยรักษาชาติที่อาจจะได้คะแนนเสียงเพิ่มขึ้น ด้านผลกระทบต่อตลาดหุ้นเชื่อว่าตลาดจะตอบรับในทางที่ดี แต่ต้องจับตาวันเลือกนายกรัฐมนตรีอีกครั้งว่าเกมทางการเมืองจะเปลี่ยนไปในทิศทางไหน

ทั้งนี้ปิดตลาดวันนี้ (8 ก.พ.) ดัชนีตลาดหลักทรัพย์ฯอยู่ที่ 1651.68 จุด ปรับลดลง1.43 จุด มูลค่าซื้อขายอยู่ที่ 56,862.15 ล้านบาท โดยนักลงทุนสถาบันในประเทศซื้อสุทธิ 1,775.14ล้านบาท ขณะที่นักลงทุนต่างประเทศขายสุทธิ 647.42 ล้านบาทและนักลงทุนรายย่อยขายสุทธิ 1,511.45 ล้านบาท

คลิกอ่าน…พระราชโองการ ร.10 ทูลกระหม่อมหญิง ต้องอยู่เหนือการเมือง