ผู้สื่อข่าวรายงานว่าเมื่อวันที่ 17 ก.พ.2562 นายธีระชัย ภูวนาถนรานุบาล อดีตรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง ได้โพสต์บนเฟซบุ๊กส่วนตัว “Thirachai Phuvanatnaranubala ธีระชัย ภูวนาถนรานุบาล” แนะนำให้ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา คิดให้รอบคอบ โดยระบุว่า
“ขอแนะนำให้รัฐมนตรีเรียกร้องให้มีการพิจารณาความเสี่ยงอย่างรอบคอบ”
- เปิด 10 อันดับมหาวิทยาลัยรัฐ-ราชภัฏ-เอกชน ที่ได้รับความนิยมมากสุด
- นักท่องเที่ยวเข้าต่ำแสน หวั่นโลว์ซีซั่นทรุดหนัก ททท.ชี้กระทบสั้นยอดบุ๊กกิ้งแอร์ไลน์แน่น
- KNLA ถอนกำลังจากเมียวดี ไปโจมตีทหารเมียนมากองพล 55 ผู้ลี้ภัยข้ามฝั่งกลับแล้ว
รัฐมนตรีอาจจะเข้าใจว่าการกระทำในรูปของคณะรัฐมนตรีจะมีความปลอดภัยเสมอ เพราะมีข้าราชการประจำระดับสูงเข้าร่วมประชุมด้วย ที่สำคัญได้แก่เลขาธิการสำนักงานกฤษฎีกา
ซึ่งการใดที่ผ่านการพิจารณาของ ครม.แล้ว ก็ต้องถือว่ามีการดูเรื่องอย่างรอบคอบแล้ว
แต่ผมมีข้อสังเกตแก่รัฐมนตรี 2 ข้อ
ข้อที่หนึ่ง
ข่าวข้างล่าง เมื่อเดือน พ.ค. 2558 คณะกรรมการ ป.ป.ช. มีมติให้คณะอนุกรรมการไต่สวนฯแจ้งข้อกล่าวหา น.ส.ยิ่งลักษณ์ และคณะรัฐมนตรีรวม 34 ราย กรณีอนุมัติและจ่ายเงินเยียวยาแก่ผู้ได้รับผลกระทบจากการชุมนุมทางการเมืองปี 2548-2553 โดยไม่มีอำนาจ และไม่มีกฎหมายรองรับ
ทาง ป.ป.ช. เห็นว่า มีการออกหลักเกณฑ์และอัตราเยียวยาขึ้นใหม่ แต่ไม่ปรากฏข้อเท็จจริงว่า มีกฏหมายใดมารองรับการจ่ายเงินเยียวยาดังกล่าว
(ผมไม่อยู่ในรายชื่อคณะรัฐมนตรี 34 รายดังกล่าว เนื่องจากพ้นตำแหน่งไปก่อน)
เรื่องนี้เป็นตัวอย่างให้เห็นว่า รัฐมนตรีมีหน้าที่ต้องพิจารณาข้อกฎหมายเอง มิใช่อาศัยแต่เลขาธิการสำนักงานกฤษฎีกาโดยลำพัง
ข้อที่สอง
สำหรับเรื่องที่ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา ลงนามยินยอมเป็นแคนดิเดตนายกฯ ให้แก่พรรคพลังประชารัฐ ซึ่งอาจจะเข้าลักษณะต้องห้ามตามบทบัญญัติของรัฐธรรมนูญ และกรณีถ้าหากเข้าลักษณะดังกล่าว ก็จะทำให้การดำเนินงานของคณะรัฐมนตรีต่อไปถูกฟ้องว่าเป็นโมฆะได้
รวมทั้งอาจทำให้การเลือกตั้งเป็นโมฆะได้อีกด้วยนั้น
เนื่องจากเป็นข้อถกเถียงในเรื่องของรัฐธรรมนูญ ไม่ว่าเลขาธิการสำนักงานกฤษฎีกาหรือกรรมการร่างรัฐธรรมนูญ จึงมิใช่เป็นผู้ที่มีอำนาจหรือหน้าที่จะชี้ขาด
ผู้ที่มีอำนาจคือศาลรัฐธรรมนูญเท่านั้น
ดังนั้น ผมจึงขอย้ำคำแนะนำที่ให้ท่านนายกฯสั่งการเลขาธิการคณะรัฐมนตรี ให้ดำเนินการขอให้ศาลรัฐธรรมนูญวินิจฉัยสถานะของท่านนายกฯเป็นการด่วนที่สุด
นอกเหนือจากการประชุม ครม. แล้ว ผมขอแนะนำอีกด้วยว่า ระหว่างนี้ต้องระมัดระวังการอนุมัติเรื่องต่างๆ ภายในกระทรวงของท่านอย่างมาก เพราะกรณีที่มีผู้ใดเสียประโยชน์ ไม่ว่ารายที่ถูกใช้ดุลพินิจจัดอันดับให้เป็นรอง หรือรายที่ถูกตัดสิทธิในการเข้าแข่งขัน เมื่อสบช่องก็ย่อมจะหาทางสู้ จึงอาจจะรวมถึงการใช้ประเด็นนี้มาต่อสู้กับรัฐในอนาคตด้วย