เมื่อ “เนติวิทย์” เจอ “นายกฯมาเลเซีย” ก่อนชวนคุยเรื่องการเลือกตั้ง-ความสัมพันธ์จีน-LGBT

วันนี้ (17 ก.พ.) เนติวิทย์ โชติภัทร์ไพศาล นิสิตคณะรัฐศาสตร์ จุฬาฯ และอดีตประธานสภานิสิตจุฬาฯ ในฐานะนักกิจกรรมทางการเมืองรุ่นใหม่ โพสต์ข้อความทางเฟซบุ๊ก เล่าเรื่องการพบปะพูดคุยกับ นายมหาเธร์ โมฮัมหมัด นายกรัฐมนตรี​มาเลเซีย​ โดยระบุว่า เมื่อผมได้มีโอกาสพบนายกรัฐมนตรี​มาเลเซีย​ อายุ 93 แล้ว แต่หัวใจยังหนุ่ม

วันเสาร์​ที่ผ่านมา ผมได้รับเชิญ​ไปร่วมงานประชุมที่มาเลเซีย​ งาน ‘เทศกาลประชาธิปไตย’​ จัดโดย FORSEA องค์​กรภาคประชาชนสิทธิมนุษยชน​ในอาเซียนองค์กร​ใหม่ แน่นอนว่ามีนักกิจกรรมสังคม อาจารย์​นักวิชาการ และคนรุ่นใหม่เข้าร่วมไม่น้อย

ผมพูดตอนบ่าย แต่ตอนเช้า คนที่มาพูดเปิดงานนี้ถือว่าสำคัญ​มากและแปลกมาก ที่สำคัญ​คงปฏิเสธ​ไม่ได้ที่จะไม่มีใครรู้จัก บุคคลนี้ นามว่า ดร.มหาธีร์​ โมฮัมหมัด นายกรัฐมนตรี​คนปัจจุบัน​ของมาเลเชีย​ ซึ่งเคยเป็นนายกฯมาก่อนหน้าอยู่​ในตำแหน่งนายกฯ 22 ปี (ระหว่างปี 1981-2003) ถ้าหากเทียบเขากับลีกวนยูของสิงคโปร์​ก็ไม่แพ้กัน หลังจากการโกงยักยอกเงินครั้งใหญ่ของนายกฯคนก่อน นาจิบ ราซัก อดีตลูกศิษย์​และนายกพรรคเดียวกับมหาเธร์​ มหาเธร์​ ได้ร่วมมือกับพรรคฝ่ายค้าน พวกตรงข้ามที่ก่อนหน้าโดนข้อหาติดคุกสมัยที่มหาเธร์​เป็นนายก ร่วมมือกันล้มรัฐบาลนาจิก ราซัก ผ่านการเลือกตั้ง และสิ้นสุดการครองอำนาจยาวนานของพรรคที่มหาเธร์​เคยเป็นนายกลง เขาบอกในปาฐกถางานนี้ว่า ‘เมื่อพรรคไม่ได้มีจุดประสงค์​ที่ตั้งไว้แล้ว ก็ต้องสู้ ต้องต่อต้านมัน’ พรรคการเมือง​ในไทยเสียดายเรามีเวลาไม่กี่ปีก็รัฐประหาร​เลยไม่มีโอกาสเห็นแบบนี้

ที่ผมว่าแปลกเพราะงานนี้ มหาเธร์​มาปรากฏตัวในที่ประชุมของนักกิจกรรมเก่าที่เขาเคยสั่งติดคุก ไล่ล่า ที่แปลกคือ คนที่นั่งติดเขา เป็นศัตรู​เก่า เคยติดคุก เป็นนักกิจกรรมเก่า อยู่พรรคฝ่ายค้าน แต่ปัจจุบัน​เป็นรัฐมนตรีกลาโหม ภายใต้การนำของมหาเธร์​ ที่แปลกคืองานนี้ตัวตั้งตัวตีชาวมาเลที่ขึ้นพูดแนะนำมหาเธร์​ก็คือ คนที่ต้องลี้ภัยทางการเมือง​ออกจากมาเลเชีย​ไปอยู่ที่อื่นยี่สิบปี เพราะต่อต้านรัฐบาลเผด็จการก่อนหน้าและสมัยมหาเธร์​ช่วงแรก

พวกเขามารวมกันได้ยังไงกัน และนี่จะมีโอกาสเกิดขึ้น​ในเมืองไทยไหม ผมคิดคำนึง แน่นอนนักกิจกรรมเหล่านี้ซึ่งเคยเป็นนักเรียนนักศึกษา​ไม่ใช่คนที่มหาเธร์​ผู้อำนาจล้นพ้นจะมาเห็นดีเห็นงาม​ด้วยทันทีทันใด แต่พวกเขาต่อสู้ยาวนาน จนทำให้คุณ​ค่าประชาธิปไตย​เป็นที่ยอมรับกว้างขวาง มันใช้เวลา ยอมเสี่ยงที่จะพูดความจริง และอาจถูกจับ ล่าสุดขบวนการที่พวกเขาหลายคนเป็นตัวตั้งตัวตีคือ Bersih ที่ออกมาเรียกร้อง​การเลือกตั้งที่โปร่งใสเป็นธรรม การสุจริต​ทางการเมือง​ ก็ทำให้มหาเธร์​เอง เมื่อเป็นคนแก่เห็นแก่บ้านแก่เมือง แม้ความคิดจะแตกต่าง แต่ก็มาร่วมหัวจมท้ายด้วย จนชนะการเลือกตั้ง​เมื่อปีที่แล้ว มหาเธร์​ในคาบใหม่ มาพร้อมพลังประชาธิปไตย​ และก็ถึงได้มากล่าวเปิดงานในวันนี้นั่นเอง

ผมโชคดีได้มีโอกาสเจอ ดร.มหาเธร์​ด้วย โดยได้คุยกับท่านสั้นๆ ผมทักทายว่ามาจากจุฬา​ฯ ที่ท่านเคยไปพูด ผมถามท่านว่า ขอให้มาเลเซีย​สนับสนุน​ให้มีการเลือกตั้ง​ที่เสรีและโปร่งใสเป็นธรรมในวันที่ 24 มีนาคมนี้ ตอนนี้เราอยู่​ในสถานการณ์​ที่ไม่แน่นอนมาก ท่านยิ้มพยักหน้า

ผมยังได้มอบหนังสือ​ที่ผมแปล ‘ตัวข้าไซร้​ไร้​ศัตรู’​ ผลงานของหลิว เสี่ยว​โป​นักเขียนที่จีนคุมขัง และจีนกลัวที่สุดให้ ผมพูดยกย่องที่รัฐบาล​ใหม่ท่านกล้าท้าทายการครอบงำของจีน ไม่เหมือนไทยในเวลานี้ และขอยกย่องที่ท่านไม่เล่นตามจีน ส่งคนอุยกูร์​ที่หนีตายกลับไปจีน ต่างกับรัฐบาลประยุทธ์​ที่ไม่เห็นมนุษยธรรมเอาเลย และเป็​นการบอกว่าไทยไม่มีจุดยืน ทหารหาญ​คงไม่ได้หมายถึงผู้นำทหารไทยเวลานี้

และผมมอบธงสีรุ้งที่เพื่อนนิสิตจุฬา​ผมฝากมาให้ ผมบอกท่านว่า ผมจำได้ที่ท่านมาพูดที่จุฬา​บอกว่า การแต่งงานคนเพศเดียวกัน​ยังไม่พร้อมที่มาเลย์ ไม่ใช่คุณค่าเอเชีย ไม่มีใครค้านท่านตอนนั้น แต่ไม่ใช่ทุกคนไทยทุกคนเห็นด้วยนะ ผมล่ะคนนึง และผมเลยเอาเสียงตรงนั้นมาบอกท่านด้วยธงนี้

ผมยื่นให้ ท่านก็รับไป กล่าวขอบคุณ​ แม้เห็นต่างกับผม จบ มีเวลาเท่านี้ spirit ของผู้นำที่เมืองไทยขาดไปหลายปี แต่แน่ละ เรื่องนี้ไม่ใช่ ‘ศีลธรรม’​ ถ้ามหาเธร์​มาจากรัฐประหาร​ ทหารปกครอง​ประเทศ​ ผมคงทำแบบนี่ไม่ได้ และเขาจะฟังผมทำไม ฟังประชาชนทำไม มีปืนก็พอแล้ว

รัฐมนตรีกลาโหมมาเลฯกล่าวในงานบอกว่า มาเลเซีย​ กำลังเปิดสู่หน้าใหม่ คือ ยุคประชาธิปไตย
สหภาพนักศึกษา​ที่เคยถูกแบนก็ได้รับการอนุญาตให้มีขึ้นได้อีกครั้ง อย่าเข้าใจผิดว่ามีแต่ผมที่ไม่เห็น​ด้วยกับท่าน แม้วันนี้ก็มีคนมาประท้วงมหาเธร์​ในงานเพราะ​เห็น​ว่ารัฐบาลละเลยสิทธิ​คนกลุ่มน้อยในรัฐห่างไกล และพวกเขาต้องการแยกตัวออกไป ก็ถือป้ายชูขึ้นมาได้ ในงาน สันติ ไม่มีความรุนแรง​ เมื่อประชาชนเป็นเจ้าของอำนาจ เลือกรัฐบาล พวกเขามีคะแนนเสียง หนึ่งคนหนึ่​งเสียง รัฐบาล​ต้องฟัง แต่ผู้นำไทยตอนนี้นี่คงไม่ต้องบอกว่าไม่มีความอดทน​อดกลั้นวิสัยผู้นำเลย ใครทำแบบนี้โดนขู่ โดนข้อหาแน่ ความสวยงามของประชาธิปไตย​คือ การอดทนอดกลั้นกัน และยอมรับกติกาที่เป็นธรรม ไม่ใช่แบบ 250 กับอีกฝ่ายเริ่มต้นที่ 0

แน่นอนครับไม่มีที่ไหน เพอร์​เฟ็กต์ ที่กล่าวมานี้ไม่ได้บอกว่าประชาธิปไตย​ที่มาเลเซียเพอร์​เฟ็กต์ ถ้าเพอร์​เฟ็กต์ ก็เป็นระบบตายแล้ว ถ้าไม่มีปัญหา​ก็แสดงว่าเราอยู่​เมืองเทวดา แต่นี่โลกมนุษย์​ ปัญหา​มีไว้ให้คิดให้แก้ ให้ใช้สมอง แต่เมืองไทยเลือกปิดปากประชาชนและอ้างบุญ​คุณ​ อ้างเป็นอย่างเดียว

ในงานนี้เจอนิทรรศการ​ศิลปะ มีไข่แมวด้วย เลยถ่ายภาพมาให้ดูว่า ‘นาฬิกา’​ ของรัฐมนตรี​กลาโหมสมัยนี้ (และหวังว่าจะพอแล้วสำหรับ​สมัยหน้า) ​ดังขนาดไหน ถ้าไปเห็นที่ยุโรปคงอาย แต่นี่มหาเธร์​มาชม คนมาเลฯ และอื่นๆ เพื่อนบ้านมาชม ใกล้ๆ กันผมว่านี่ยิ่งน่าอาย

เรื่องนี้ยังสอนอีกว่า คนรุ่นใหม่ อยู่​ที่ใจ ใจที่สู้ ไม่ยอม และเปิดรับอะไรใหม่ๆ มหาเธร์​เป็นคนนึงที่เห็นข้อผิดพลาด​ตนเองและเปิดกว้างพอจะฟังคนเห็นต่างกับตน คนรุ่นใหม่​น่าจะอยู่ตรงนี้ ไม่ใช่อายุ

24 มีนาคมนี้ คนรุ่นใหม่​ รุ่นเก่า รุ่นไหน หากเป็นพลเมือง​ไทยแล้ว เชิญ​ชวน ไปเลือกตั้งกันครับ แสดงพลังว่าเราไม่เอา ผู้นำด้อยวุฒิภาวะทางอารมณ์​และการยอมรับความคิดเห็น​ของประชาชน รัฐบาลต้องตรวจสอบ​ได้และฟังเสียง​ประชาชน เราอยากได้ผู้นำแบบไหน อยู่​ที่เรานี่แหละ

 

 


ที่มา : มติชนออนไลน์