“โอ๊ค ชินวัตร” ตัวจริง พูดสั้น กลัวการเป็น “นักการเมือง” ผิดฟอร์มในเฟซบุ๊กโต้เผด็จการ พร้อมเลือกตั้ง!

ชื่อนายพานทองแท้ ชินวัตร ลูกชายคนเดียวของนายทักษิณ ชินวัตร ปรากฏตัวเป็นๆ ทางการเมืองถี่ขึ้น หลังปรากฏการณ์ “แคนดิเดตนายกรัฐมนตรี” พรรคไทยรักษาชาติ เขาเปิดตัวอีกครั้งที่หลังเวทีปราศรัยหาเสียงพรรคเพื่อไทย ที่ลานคนเมือง กรุงเทพมหานคร

จากนั้นเดินสายลงพื้นที่ ทั้งกับคุณหญิงสุดารัตน์ เกยุราพันธุ์ ประธานยุทธศาสตร์เลือกตั้ง พรรคเพื่อไทย ในกรุงเทพฯ หลายจุด

แต่ไม่เคยมีสื่อไหน ได้สัมภาษณ์ ความคิด-จากปากของนายพานทองแท้ แบบได้ยินเสียง เห็นหน้า

ต่างจากเพจ “Oak Panthongtae Shinawatra” ที่มีตอบโต้ ท้าชนการเมือง แบบเข้มข้น ทั้งพร้อมเลือกตั้ง-วิจารณ์เดือดนักเต้าข่าวโต้ ตัวไม่อยู่ไทย และประเด็นคลิปหลุดนักการเมืองดัง กับนักเคลื่อนไหว และกล่าวถึงฝ่ายเผด็จการหลายวาระ

ล่าสุด เมื่อวันที่ 18-19 กุมภาพันธ์ 62 ที่ผ่านมา นายพานทองแท้ ลงพื้นที่หาเสียงร่วมกับ นายชัชชาติ สิทธิพันธุ์ แคนดิเดตนายกรัฐมนตรี พรรคเพื่อไทย และคุณหญิงสุดารัตน์ ที่จังหวัดอุบลราชธานี

คุณหญิงสุดารัตน์ กล่าวเชิญชวน ประชาชนที่เดินอยู่ในตลาดสด เขต 5 อุบลราชธานี ถึงนายพานทองแท้ว่า “วันนี้ไม่ได้มาคนเดียว มากับลูกชายของคนที่ท่าน คิดถึ๊ง คิดถึงที่สุด พานทองแท้ ชินวัตร พานทองแท้ ลูบได้ จับได้ กอดได้ ไม่ว่าอะไร เชิญเลย มาเลย คิดถึงใครก็มากอดให้หายคิดถึงได้”

ไทยรัฐทีวี สัมภาษณ์แบบเผชิญหน้า “พานทองแท้” น่าจะเป็นครั้งแรก ที่ในรอบหลายๆ ปี ที่พูดเรื่องในวงการเมือง แบบ “สั้นๆ” และบุคลิก ต่างไปจากตัวต้นในเฟซบุ้ก นี่คือคำถามและคำตอบ

นายพานทองแท้ : “ผมไม่ได้มาเดินอย่างนี้ 4-5 ปีแล้ว ได้พบชาวบ้านทำให้มีกำลังใจ กลับไปมีแรงทำงาน ไม่เหนื่อย เจอชาวบ้านก็มีกำลังใจ ชอบ”

ผู้สื่อข่าว : ในอนาคตจะเป็นนักการเมืองหรือไม่

พานทองแท้ “ไม่ฮะ พยายามไม่เอา กลัว เห็นบทเรียนมาแล้ว ดูพ่อ (นายทักษิณ ) กับอาผม (น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร) สิ”

ผู้สื่อข่าว : การเมืองยุคใหม่อาจจะไม่ร้ายแรงอย่างที่คิด

พานทองแท้ : “ก็รอให้มันเปลี่ยนก่อนดิ แล้วค่อยมาว่ากัน”

“วันเลือกตั้ง 24 มี.ค. อยากให้ไปใช้สิทธิ์เยอะๆ ไปใช้สิทธิ์กันมากๆ ส่วนการไปช่วยผู้สมัคร ส.ส.เพื่อไทยนั้น ผมก็จะไปในพื้นที่อื่นๆ ให้ได้มากที่สุด”

ทั้งนี้ ก่อนหน้านี้ 1 เดือน เมื่อวันที่ 20 มกราคม 2562 หน้าเพจ “Oak Panthongtae Shinawatra” ของนายพานทองแท้ โพสต์ข้อความ ว่า “พรรคการเมืองที่พร้อมลงเลือกตั้ง ยิ่งเลื่อนออกไปนานเท่าไหร่ ก็ยิ่งมีความพร้อมมากขึ้นเท่านั้นครับ!!”

และวิจารณ์การดูดตัว ส.ส. และการสืบทอดอำนาจ ของฝ่ายเผด็จการ ว่า ….

“ปัญหาในการเลื่อนวันเลือกตั้ง จึงไม่ได้ตกอยู่กับพรรคการเมืองที่มีความพร้อม แต่ปัญหาจะตกอยู่กับพรรคฯ ที่คุยโวโอ้อวด ว่าตัวเองจะสืบทอดอำนาจได้แน่นอน แต่กลับดูด ส.ส.ไม่ได้ตามเป้า (แถมดูดไปก็เสียของ ผลโพลชี้ชัดสอบตกกันเกือบหมด เพราะดูดได้แต่ตัว คะแนนยังอยู่กับพรรคฯ เดิม)”

ที่สำคัญ ยิ่งเลื่อนเลือกตั้ง ผลเสียหนักสุดกลับตกอยู่กับรัฐบาล ที่เสียเครดิตจากลมปากตัวเอง เพราะผิดสัญญาที่พูดไว้ครั้งแล้วครั้งเล่า ทั้งสัญญาที่ให้ไว้กับพี่น้องประชาชน และสัญญากับผู้นำหลายประเทศ ว่าจะมีการเลือกตั้งไม่เกินวันนั้นวันนี้ แต่ก็ไม่สามารถทำตามสัญญาได้เลยสักครั้ง

ล่าสุดจากที่เคยออกสื่ออย่างหนักแน่น ยืนยันว่าเลือกตั้งวันที่ 24 กุมภาพันธ์แน่นอน ในที่สุดก็หาเหตุเลื่อนอีกจนได้ กำหนดวันมาใหม่ 24 มีนาคม เลื่อนไปอีก 1 เดือนพอดี

คำถามสำคัญหลังจากนี้คือ “รัฐบาลจะหาเหตุใด เพื่อเลื่อนเลือกตั้งอีกได้หรือไม่..?”

ประเมินจากความเชื่อมั่นของพี่น้องประชาชน ต่อคำมั่นสัญญาของรัฐบาล น่าจะลดน้อยถอยลงจนแทบจะไม่เหลือ ประกอบกับคำบอกกล่าว “นายกตู่ใช้กองเชียร์เปลือง จนแทบจะหมดแล้ว” สรุปว่า เหตุผลธรรมดาทั่วไป ไม่น่าจะเพียงพอที่จะเป็นเหตุให้รัฐบาลเลื่อนเลือกตั้งออกไปได้อีก

ดังนั้น สิ่งที่พี่น้องประชาชนทั่วไป ที่ศรัทธาในระบอบประชาธิปไตย และอยากให้มีการเลือกตั้งเกิดขึ้นจริง จะต้องช่วยกันระมัดระวังคือ อย่าให้เกิดการสวมรอย เพื่อสร้างสถานการณ์ที่รุนแรง จากกลุ่มคนที่ไม่อยากให้มีการเลือกตั้ง

24 มีนาคม 2562 นับจากวันนี้ก็ 9 สัปดาห์หรืออีก 63 วันพอดี ไม่ช้าไม่เร็วเกินไป อดทนอยู่ภายใต้ระบอบเผด็จการ มานานเกือบ 5 ปี อดใจรออีกนิด อย่าสร้างเงื่อนไขให้เขาใช้อ้างได้อีก และอย่าไปคาดหวัง ว่าจะเรียกร้องอะไรจากรัฐบาลนี้ได้ คิดไว้แค่เพียง

“เผด็จการฯ กำจัดได้ ด้วยปลายปากกา 24 มีนาฯ พร้อมใจกันเดินเข้าคูหา” ทุกเสียงของประชาชนที่รักประชาธิปไตย มีคุณค่าเสมอครับ”

ขณะที่ วันที่ 27 ธันวาคม 2018 เพจดังกล่าวโพสต์ วิจารณ์ “นักเต้าข่าว” โต้ข้อกล่าวหากรณี “หนีออกนอกประเทศ” ตอนหนึ่งว่า…

“ใครพอจะจำ นักเต้าข่าว ที่เคยประโคมข่าวเรื่องสนามบินสุวรรณภูมิแตกร้าว โดยใช้เทคนิคในการถ่ายภาพ ทำให้ดูเสียหายมากกว่าของจริง ตอนช่วงรัฐประหารปี 49 ได้บ้างครับ?

การกระทำของเขา ส่งผลให้ชื่อเสียงของประเทศไทยเสียหายไปทั่วโลก จน นสพ.ต้นสังกัดฯ ถูกฟ้องร้องเรียกค่าเสียหายนับพันล้านบาท ในที่สุด นสพ.ต้องแสดงความรับผิดชอบด้วยการให้นักข่าวคนดังกล่าวออกจากงานเสีย

“อยู่ๆ มาวันนี้ คนเดิมออกมาเต้าข่าวใหม่อีกครั้ง นัยว่าจะเป็นการรับจ๊อบเพื่อเบี่ยงเบนประเด็นความล้มเหลวของรัฐบาลหรือไม่ก็ไม่ทราบ ครั้งนี้มาพร้อมสคริปต์ใหม่ “ยืนยันหนักแน่น ฝ่ายความมั่นคงเผย พานทองแท้ไม่อยู่เมืองไทยแล้ว” โถ… ถถถถถถถถ!!

และโพสต์ที่ สร้างความลือลั่น คือการตอบโต้ กรณี “คลิปหลุดนักการเมือง เมื่อวันที่ 22 ธันวาคม 2561 ตอนหนึ่งว่า

“ฉิบหายแล้ว..คลิปหลุด”
คือคำอุทานแรกของผม เมื่อได้ทราบเรื่องนี้ครับ..!!

“ไม่ใช่คลิปหลุดนักการเมืองกับนักกิจกรรม” แบบที่ผู้ประสงค์ร้ายพยายามจะให้เป็น เพราะเรื่องมันใหญ่กว่านั้นเยอะครับ..!!

ถ้าเป็นคลิปหลุดทั่วไป จะไม่มีการตามสะกดรอยถ่าย ตั้งแต่ร้านอาหาร ลานจอดรถ ไปจนถึงตั้งกล้องรอในห้องของโรงแรม แถมด้วยพนักงานเช็กอินจัดให้เข้าห้องตรงกับที่ตั้งกล้องเอาไว้อีก จะมีสักกี่หน่วยงานกัน ที่มีขีดความสามารถทำได้ขนาดนั้น..

“ผมเชื่อว่า นี่คือการจงใจล้วงความลับ ด้วยการวางแผนกันมาอย่างดี โดยอาจจะใช้อุปกรณ์สอดแนม แบบที่เราเห็นในหนังจารกรรมก็ได้ และคิดว่าบุคคลธรรมดา หรือแม้กระทั่งนักสืบมืออาชีพทั้งประเทศไทย ก็ไม่น่าจะสามารถทำได้”