ปราศรัยสู้ปาเงิน ตั้งรับสึนามิ “ประยุทธ์” เพื่อไทย น็อกดอร์ทุกบ้าน เพิ่มชั่วโมงทำคะแนน

ในที่สุดพรรคเพื่อไทย ต้นตำรับ “ประชานิยม” ก็คลอดแพ็กเกจแก้ปัญหาเศรษฐกิจ-ปากท้อง ที่เป็นรูปธรรม มากกว่ายุทธศาสตร์กลม ๆ เกทับบลัฟแหลกกับคู่แข่งในลู่เลือกตั้งช่วงโค้งสุดท้าย

มีแผนพลิกฟื้นเศรษฐกิจไทยภายใน 180 วันแรก ถ้าได้เป็นรัฐบาล ภายใต้คอนเซ็ปต์ “ปรับหนี้ เติมเงิน ลดภาษี สร้างเศรษฐีใหม่”

โดยช่วง 100 วันแรก เป็นช่วง “แผนรักษาประเทศ” ทำเรื่องปรับหนี้และเพิ่มรายได้ ทั้งเกษตรกร-SMEs-ครู นักศึกษา

ปรับเงินเดือนและค่าแรงขั้นต่ำ ตั้งแต่ 15 เปอร์เซ็นต์ ลดภาษีนิติบุคคล ลดภาษีน้ำมัน เพื่อลดต้นทุนการผลิต และลดค่าครองชีพ ขณะที่ผลผลิตทางการเกษตรราคาจะเพิ่มขึ้นทุกตัวภายใน 6 เดือน รวมถึงมาตรการลดภาษีนอกเขต EEC สำหรับผู้ประกอบการรายเล็ก SMEs และ startup

แต่คำคุยทั้งหมดจะเกิดขึ้นได้เมื่อพรรคเพื่อไทยเป็นแกนนำจัดตั้งรัฐบาล

ก่อนจะถึงวันนั้น พรรคเพื่อไทยยังต้องฝ่าพงหนามอีกหลายด่าน คู่แข่ง-คู่ต่อสู้อีกหลายพรรคพวก

“ศัตรู” ที่น่ากลัวที่สุดในสายตานักเลือกตั้งเพื่อไทยคือ “พรรคพลังประชารัฐ” ที่ชู “พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา” นายกรัฐมนตรี และหัวหน้าคณะรักษาความสงบแห่งชาติ (คสช.) เป็นนายกฯต่ออีกสมัย

แผนการหาเสียงช่วงชิงคะแนนจากโหวตเตอร์เกือบ 52 ล้านเสียง จึงต้องปรับเปลี่ยนให้สอดรับกับสถานการณ์

ปรับจากยุทธศาสตร์เดิมที่ใช้ยุทธศาสตร์ดาวกระจายย่อยในระดับพื้นที่ ระดมหัวคะแนนเคาะตามประตูบ้าน ขายตรงนโยบายถึงชาวบ้านแบบ direct sale เพื่อให้รู้ว่าใครคือผู้สมัครของเขตนั้น ขจัดอุปสรรคการหาเสียง “ต่างเขต ต่างเบอร์” เน้นให้ ส.ส.ลงพื้นที่ 7 หมื่นหมู่บ้าน

ฝ่ายยุทธศาสตร์เพื่อไทย มองว่าที่ทำอยู่ไม่พอ โดยเฉพาะในช่วงโค้งสุดท้าย “คุณหญิงสุดารัตน์ เกยุราพันธุ์” แม่ทัพเลือกตั้งเพื่อไทย จึงขันนอตให้ นักเลือกตั้งเสื้อคลุมเพื่อไทย ทั้ง 250 คน ในระบบเขตทุ่มเทลงพื้นที่ให้เพิ่มขึ้น

เพื่อแปลงกระแสเป็นคะแนนตอนเลือกตั้ง เพราะไม่เพียงแต่ต้องสู้กับกระแส ยังต้องสู้กับกระสุนเลือกตั้งของฝ่ายตรงข้าม

หลังจากพรรคเพื่อไทยที่แม่นยำเรื่องการทำโพลเลือกตั้ง สำรวจแล้วว่า กระแสที่ภาคอีสานกระแสนิยมยังอยู่ในแดนที่ “น่าพอใจ” ทั้ง 116 เขตเลือกตั้ง ที่การันตีด้วย ส.ส.เจ้าของพื้นที่หน้าเดิม ส่วนภาคกลางเปอร์เซ็นต์คะแนนนิยมอยู่ในแดนบวก

ผิดกับพื้นที่ภาคเหนือและ กทม.ลดลงจากโค้งแรกอยู่ในอาการไม่สู้ดี หลังจาก “พลังประชารัฐ” จัดทัพแย่งซีนพื้นที่ภาคเหนืออย่างหนักหน่วง ส่วน กทม.เมืองหลวง ยังต้องเจอศึกรอบทิศที่ตัดคะแนน ทั้งประชาธิปัตย์-อนาคตใหม่ ทำให้กระแสนิยมลดน้อยลง แม้ยังไม่ถึงขั้นวิกฤต

แผนใหม่จึงต้องพลิก “กระแส” มาเป็น “คะแนน” มีการกำชับให้ ส.ส.ลงพื้นที่ปราศรัยให้ถี่ยิบมากขึ้นกว่าที่เป็นอยู่ ช่วงกลางวันขึ้นรถแห่-ตกเย็นขึ้นเวทีปราศรัย ภายใต้คอนเซ็ปต์ “ปราศรัยสู้ปาเงิน”

ตั้งเป้า ส.ส.ขึ้นเวทีช่วงเย็น ตั้งแต่ 5 โมงถึง 3 ทุ่ม อย่างน้อย ๆ ปราศรัยได้ 3 หมู่บ้าน ทีมยุทธศาสตร์เลือกตั้ง เชื่อว่ายิ่งปราศรัยจะทำให้กระแสเปลี่ยนเป็นคะแนนวันเลือกตั้งได้ โดยเฉพาะช่วง 10 กว่าวันสุดท้าย

นอกจากนี้ “คาถา” หาเสียงที่ “คุณหญิงสุดารัตน์” กำชับ ส.ส.เวลาไปบอกกับชาวบ้าน 1.ยืนยันกับชาวบ้านว่า ถ้าเพื่อไทยมาเศรษฐกิจดีขึ้น พิสูจน์มาแล้วตั้งแต่ไทยรักไทย 2.เพื่อไทยเท่านั้นที่ช่วยหายจนได้ ไม่ว่าพรรคพลังประชารัฐหรือประชาธิปัตย์ เพื่อไทยทำได้ดีกว่า และสำหรับพลังประชารัฐ มีเวิร์ดดิ้งพิเศษที่ ส.ส.จะต้องไปบอกกับโหวตเตอร์

“รัฐบาลนี้อยู่มา 5 ปีไม่มีฝ่ายค้าน มี ม.44 เศรษฐกิจยังไม่ดีขึ้น ชาวบ้านเจ็บจนถึงกระดูก ขอให้อัดกลับแบบนี้”

ไม่เฉพาะ “คาถา” หาเสียง 2 ข้อ ที่นำมาใช้ นับจากนี้ไป แผ่นป้ายหาเสียงของพรรคเพื่อไทยจะถูกติดตั้งเพิ่มมากขึ้นเต็มโควตา 540 ป้าย ต่อเขตเลือกตั้ง ตามที่คณะกรรมการการเลือกตั้งกำหนด และให้ติดถี่ยิบใกล้คูหาลงคะแนน

นอกจากนี้ หากผู้สมัครรายใดมีหมายเลขผู้สมัครอันดับ 10 ขึ้นไป ให้ถือ “ตัวอย่างบัตรเลือกตั้ง” ขึ้นเวทีปราศรัย ชี้ให้ชาวบ้านเห็นชัด ๆ กับตาว่า หมายเลขของผู้สมัครอยู่ตำแหน่งไหนในบัตร

เพื่อไทยปรับทัพเข้าสู่โค้งหักศอกเลือกตั้ง แพ้-ชนะ วัดกันที่ช่วงนี้

 

ไม่พลาดข่าวสารเศรษฐกิจ เจาะลึกทุกประเด็นทั้งภาครัฐ-เอกชน เพิ่มเราเป็นเพื่อนที่ Line ได้เลยพิมพ์ @prachachat หรือ คลิกลิงก์ https://line.me/R/ti/p/@prachachat 

หรือจะสแกน QR Code ในรูป เราพร้อมเสิร์ฟข่าวเศรษฐกิจ-ธุรกิจถึงมือผู้อ่านทันที!