‘เรืองไกร’ ร้อง หัวหน้า คสช. ตรวจสอบสถานะ ‘ชัช ชลวร’

เมื่อวันที่ 10 มกราคม นายเรืองไกร ลีกิจวัฒนะ อดีต ส.ว. กล่าวว่า มติของศาลรัฐธรรมนูญที่ให้ยุบพรรคไทยรักษาชาติ (ทษช.) นั้น ตนยังติดใจเพราะเป็นคนยื่นคำร้องทักท้วงว่า บุคคลหนึ่งในองค์คณะตุลาการศาลรัฐธรรมนูญ คือ นายชัช ชลวร นั้น พ้นจากตำแหน่งด้วยการลาออกมาตั้งแต่เดือนสิงหาคม พ.ศ.2554 แล้วหรือไม่ แต่ไม่ได้รับการพิจารณาแต่อย่างใด การไม่พิจารณาดังกล่าว ไม่ได้แปลว่า คำร้องทักท้วงของตนไม่มีมูล ซึ่งกรณีของนายชัช ชลวร นั้น ได้มีการลาออกจากตำแหน่งประธานศาลรัฐธรรมนูญไปแล้วตั้งแต่เดือนสิงหาคม พ.ศ.2554 และมีพระบรมราชโองการให้พ้นตำแหน่งแล้ว แต่นายชัช ชลวร ยังคงอยู่ปฏิบัติหน้าที่ในตำแหน่งตุลาการศาลรัฐธรรมนูญต่อไป โดยสำนักงานศาลรัฐธรรมนูญชี้แจงว่า นายชัช ชลวร มีสองสถานะมาตั้งแต่ได้รับการโปรดเกล้าฯ แต่งตั้งเป็นประธานศาลรัฐธรรมนูญ เมื่อเดือนพฤษภาคม 2551

นายเรืองไกร กล่าวต่อว่า การชี้แจงของสำนักงานศาลรัฐธรรมนูญมีข้อสังเกตที่อาจเป็นปัญหาตามมาว่า นายชัช ชลวร พ้นจากตำแหน่งประธานศาลรัฐธรมรนูญแล้ว และไม่ได้รับการโปรดเกล้าฯ แต่งตั้งให้เป็นตุลาการศาลรัฐธรรมนูญตามที่ประธานวุฒิสภากราบบังคมทูลแต่อย่างใด ซึ่งเรื่องนี้ มีข้อสังเกตุจากหนังสือของสำนักงานศาลรัฐธรรมนูญที่ชี้แจงไว้พอสรุปได้ 3 กรณี คือ กรณีที่ 1 นายชัช ชลวร มีสองสถานะมาตั้งแต่แรก โดยการอ้างข้อความจากพระบรมราชโองการที่ระบุว่า “… ซึ่งตุลาการศาลรัฐธรรมนูญทั้งเก้า…” ซึ่งไม่ตรงกับข้อความในพระบรมราชโองการ เพราะข้อความที่ถูกต้องใช้คำว่า “ซึ่งบุคคลทั้งเก้า…” กรณีที่ 2 หากนายชัช ชลวร มีสองสถานะมาตั้งแต่แรก ก็เป็นเรื่องแปลกที่สำนักงานศาลรัฐธรรมนูญ มีหนังสือขอให้ประธานวุฒิสภากราบบังคมทูลเพื่อทรงโปรดเกล้าฯ แต่งตั้งให้นายชัช ชลวร พ้นจากตำแหน่งประธานศาลรัฐธรรมนูญ และเป็นตุลาการศาลรัฐธรรมนูญ ตั้งแต่วันที่ 10 สิงหาคม 2554 และ กรณีที่ 3 แต่ต่อมา ตามพระบรมราชโองการประกาศแต่งตั้งประธานศาลรัฐธรรมนูญ (ราชกิจจานุเบกษา หน้า 2 เล่ม 128 ตอนพิเศษ 138 ง วันที่ 17 พฤศจิกายน พ.ศ.2554) ซึ่งในพระบรมราชโองการหาได้มีการโปรดเกล้าฯ แต่งตั้งให้นายชัช ชลวร เป็นตุลาการศาลรัฐธรรมนูญ ตั้งแต่วันที่ 10 สิงหาคม 2554 แต่อย่างใด และเรื่องนี้เกิดมานานแล้วตั้งแต่สิงหาคม 2554 และมามีความชัดเจนมากขึ้น ทั้งนี้ ตามพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยวิธีพิจารณาของศาลรัฐธรรมนูญ พ.ศ.2561 มาตรา 18 วรรคสอง บัญญัติว่า “ประธานศาลรัฐธรรมนูญซึ่งลาออกจากตำแหน่งให้พ้นจากตำแหน่งตุลาการด้วย”

นายเรืองไกร กล่าวอีกว่า กรณีที่นายชัช ได้พ้นจากตำแหน่งประธานศาลรัฐธรรมนูญด้วยการลาออกไปแล้ว จึงไม่ควรจะมีสถานะตุลาการศาลรัฐธรรมนุญเหลืออยู่แต่อย่างใด ดังนั้น การที่องค์คณะตุลาการศาลรัฐธรรมนูญที่ลงมติยุบพรรคไทยรักษาชาติ มีนายชัช ชลวร รวมอยู่ด้วย จึงอาจไม่ชอบ แต่มติของศาลรัฐธรรมนูญดังกล่าว ไม่มีศาลอื่นมีอำนาจวินิจฉัยได้ จึงเป็นปัญหาที่ต้องร้องขอมายังหัวหน้าคณะรักษาความสงบแห่งชาติ เพื่อใช้ มาตรา 44 ดำเนินการแก้ไขปัญหานี้ให้ถูกต้องชอบด้วยกฎหมาย รัฐธรรมนูญ และหลักนิติธรรมต่อไป เรื่องนี้เป็นเรื่องสำคัญมาก เพราะหากองค์คณะตุลาการศาลรัฐธรรมนูญที่ลงมติยุบพรรคไทยรักษาชาติ มีตุลาการศาลรัฐธรรมนูญที่ไม่ได้รับการโปรดเกล้าฯ แต่งตั้งรวมอยู่ด้วย อาจเท่ากับมีคนนอกร่วมลงมติ ก็จะทำให้มติดังกล่าวมีปัญหาตามมาทันที ทั้งนี้ ตามความในรัฐธรรมนูญ มาตรา 190 ที่บัญญัติว่า “พระมหากษัตริย์ทรงแต่งตั้งและให้ผู้พิพากษาและตุลาการพ้นจากตำแหน่ง แต่ในกรณีที่พ้นจากตำแหน่งเพราะความตาย เกษียณอายุ ตามวาระ หรือพ้นจากราชการเพราะถูกลงโทษให้นำความกราบบังคมทูลเพื่อทรงทราบ ดังนั้น กรณีของนายชัช จึงต้องทำให้ชัดเจนถูกต้อง ชอบด้วยรัฐธรรมนูญ กฎหมาย และหลักนิติธรรม ซึ่งเรื่องนี้ ตนได้ทักท้วงแล้ว แต่ศาลรัฐธรรมนูญกลับไม่พิจารณา ดังนั้น กรณีของนายชัช ที่มีปัญหาว่า มีสถานะเป็นตุลาการศาลรัฐธรรมนูญโดยชอบหรือไม่นั้น จึงต้องร้องขอให้หัวหน้าคณะรักษาความสงบแห่งชาติทำการตรวจสอบต่อไปว่า นายชัช มีพระบรมราชโองการโปรดเกล้าฯ ให้เป็นตุลาการศาลรัฐธรรมนูญหรือไม่ ถ้ามี มีตั้งแต่เมื่อใด ถ้าไม่มี ก็ขอให้หัวหน้าคณะรักษาความสงบแห่งชาติใช้อำนาจตามมาตรา 44 เพื่อพิจารณาออกคำสั่งให้นายชัช ไม่มีสถานะเป็นตุลาการศาลรัฐธรรมนูญนับตั้งแต่ลาออกจากประธานศาลรัฐธรรมนูญแล้ว และมีคำสั่งให้เพิกถอนมติของศาลรัฐธรรมนูญที่ให้ยุบพรรคไทยรักษาชาติต่อไปด้วย โดยตนจะไปยื่นหนังสือร้องด้วยตนเองที่ศูนย์รับเรื่องฯ ทำเนียบรัฐบาล ในวันที่ 11 มีนาคมนี้ เวลา 10.00 น.

 

 

ที่มา : มติชนออนไลน์