“สุรทิน” หัวหน้าพรรคประชาธิปไตยใหม่ยื่นฟ้อง 7 กกต. ฐานกระทำการมิชอบด้วยหน้าที่ ปมประกาศรายชื่อ “ประยุทธ์” หัวหน้า คสช. ทั้งที่มีลักษณะต้องห้ามตามรัฐธรรมนูญ
เมื่อเวลา 10.00 น. วันที่ 15 มีนาคม นายสุรทิน พิจารณ์ หัวหน้าและแคนดิเดตนายกฯของพรรคพร้อมด้วยนายเกริกฤทธิ์ แจ้งพรมมา ผู้สมัคร ส.ส.เขต 7 จังหวัดขอนแก่น เดินทางมายื่นฟ้อง กกต.รวม 7 คน ที่ศาลอาญาคดีทุจริตและประพฤติมิชอบกลาง กรณี กกต. ทั้ง 7 คน กระทำการหรือละเว้นกระทำการอันมิชอบด้วยหน้าที่ โดยไม่สุจริต หรือมีเจตนาหลีกเลี่ยงไม่ปฏิบัติตามหน้าที่หรือกระทำการอื่นใดอันเป็นการขัดขวางมิให้การเป็นไปตามกฎหมาย ระเบียบ ประกาศ หรือคำสั่งของคณะกรรมการ นายสุรทินกล่าวว่า ประเด็นฟ้อง ดังนี้
- ประกาศแล้ว! พระราชกฤษฎีกาเงินช่วยค่าครองชีพผู้รับเบี้ยหวัดบำนาญ รับ 11,000 บาทต่อเดือน
- บังคับใช้แล้ว! หลักเกณฑ์การดำเนินงาน 30 บาทรักษาทุกที่ ด้วยบัตรประชาชนใบเดียว
- อะไรทำให้ “ทองคำ” แพง สงคราม หรือการเก็งกำไร ?
1.ออกประกาศคณะกรรมการการเลือกตั้ง เมื่อวันที่ 11 ก.พ. 62 เรื่อง การแจ้งรายชื่อ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา หัวหน้า คสช.โดยไม่ชอบ เพราะพลเอกประยุทธ์เป็น “เจ้าหน้าที่อื่นของรัฐ” ซึ่งถือเป็นบุคคลที่ไม่มีคุณสมบัติ และมีลักษณะต้องห้าม ตามรัฐธรรมนูญมาตรา 160 และมาตรา 98 (15) โดยไม่สุจริต ทั้งที่มีข้อโต้แย้ง ทักท้วง ถึงความไม่ถูกต้อง ถึง กกต. ทั้ง 7 โดยตรง และโดยอ้อมจากสื่อสาธารณะโดยทั่วไปว่า ประกาศ กกต. ไม่ถูกต้อง 2.เมื่อมีบุคคลหลายคนขอให้ กกต. ทั้ง 7 วินิจฉัยชี้ขาดปัญหาหรือข้อโต้แย้งเกี่ยวกับข้อกำหนด ระเบียบ หรือประกาศของ กกต.ที่ประกาศรายชื่อ พล.อ.ประยุทธ์ เป็นบุคคลที่พรรคพลังประชารัฐ (พปชร.) จะมีมติเสนอให้สภาผู้แทนราษฎรพิจารณาแต่งตั้งให้เป็นนายกรัฐมนตรี ตาม พ.ร.ป.ว่าด้วยการเลือกตั้ง ส.ส. มาตรา 22 (3) ว่าประกาศ กกต. ขัดต่อรัฐธรรมนูญ และกฎหมาย ขอให้ กกต.วินิจฉัยชี้ขาดปัญหา หรือข้อโต้แย้งหลายครั้งหลายคราวต่อเนื่องติดต่อกันอย่างยาวนาน แต่ กกต.ทั้ง 7 กลับไม่วินิจฉัยชี้ขาดปัญหาหรือข้อโต้แย้งตามที่กฎหมายข้างต้นกำหนดให้ดำเนินการจนถึงวันฟ้องรวมเวลากว่า 1 เดือนเศษ กกต.ทั้ง 7 ไม่ดำเนินการใดๆ ในเรื่องนี้ทั้งสิ้น และ 3.ตนทั้งสองขอยืนยันว่า การฟ้องคดีครั้งนี้เป็นไปเพื่อประโยชน์สาธารณะ และต่อพรรคการเมืองทั้งหมด โดยเห็นว่า พล.อ.ประยุทธ์ หัวหน้า คสช. เป็น “เจ้าหน้าที่อื่นของรัฐ” จริง และเป็นบุคคลที่ต้องห้ามในการดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรีตามรัฐธรรมนูญ มาตรา 160 และมาตรา 98 (5) ซึ่งมีข้อกฎหมาย แนวทางคำวินิจฉัยของศาลรัฐธรรมนูญ ที่ 5/2543 แนวคำพิพากษาของศาลฎีกาแผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมือง คดีหมายเลขแดงที่ อม 211/2560 รวมทั้งการใช้อำนาจออกคำสั่งบริหารราชการแผ่นดิน และใช้งบประมาณแผ่นดินจำนวนมากตลอดระยะเวลากว่า 4 ปี หลายร้อยคำสั่ง ซึ่งเป็นไปไม่ได้ที่ กกต.ทั้ง 7 ในฐานะผู้มีความรู้ความสามารถ จะไม่ทราบว่า พลเอกประยุทธ์ เป็นเจ้าหน้าที่อื่นของรัฐ การประกาศรายชื่อรวมทั้ง เมื่อมีผู้คัดค้านขอให้วินิจฉัยแต่กลับละเว้นการกระทำตามอำนาจของกฎหมายโดยไม่สุจริต
นายสุรทินกล่าวอีกว่า ตนทั้งสองขอยืนยันว่า ในฐานะที่ตนอาสาในการสมัครรับเลือกตั้งในนามพรรคต้องปฏิบัติให้เป็นไปตามรัฐธรรมนูญ และกฎหมายโดยเฉพาะเรื่องคุณสมบัติ และลักษณะต้องห้ามตามที่รัฐธรรมนูญกำหนด กกต. ทั้ง 7 เองก็ต้องปฏิบัติให้เป็นไปตามรัฐธรรมนูญ และกฎหมายที่กำหนดเพื่อให้การเลือกตั้งเป็นโดยสุจริตเที่ยงธรรมก่อนการประกาศผลการเลือกตั้ง กรณีนี้หากตนไม่ยื่นฟ้องถือว่าตนละเลยในการทำหน้าที่ เพราะการที่ กกต.ทั้ง 7 ประกาศรายชื่อพลเอกประยุทธ์ หัวหน้า คสช. ทั้งที่เป็นเจ้าหน้าที่อื่นของรัฐ อันขัดต่อรัฐธรรมนูญและกฎหมายนั้น ทำให้เกิดผลกระทบต่อสาธารณะในวงกว้างทั้งประเทศ ต่อผู้มีสิทธิเลือกตั้ง ในวันที่ 17 และ 24 มี.ค. 62 เกิดความเข้าใจผิดว่าพลเอกประยุทธ์ฯ เป็นผู้มีคุณสมบัติ และไม่มีลักษณะต้องห้ามตามรัฐธรรมนูญ และกฎหมาย และในอนาคตตนทั้ง 2 ขอยืนยันว่า ปัญหาในเรื่องนี้จะบานปลายในเวลาที่รัฐสภาต้องดำเนินการโหวตเลือกนายกรัฐมนตรี ตามรัฐธรรมนูญ มาตรา 159 และ มาตรา 272 เพื่อเสนอโปรดเกล้าเป็นนายกรัฐมนตรี หากพลเอกประยุทธ์ ในเวลานั้นขาดคุณสมบัติและมีลักษณะต้องห้ามตามรัฐธรรมนูญ จะเกิดผลกระทบต่อประเทศชาติและการเลือกตั้งในครั้งนี้ให้เกิดความเสียหายได้ ตนจึงต้องมาขออาศัยบารมีศาลเป็นที่พึ่ง ในการพิจารณาการกระทำของ กกต. ทั้ง 7 ในครั้งนี้ เพื่อมิให้ประเทศเกิดความเสียหายอีกต่อไป