บทอวสานอรหันต์ กกต. ฝ่าเกมเสี่ยงเลือกตั้ง สู้คดี-จำคุก

ความผิดปกติในการจัดการเลือกตั้งหลายขั้นหลายตอน ลุกลามมาเป็นการไล่กรรมการการเลือกตั้ง (กกต.) 7 คน

ขยายวงจากนักการเมืองไปสู่นิสิต นักศึกษา 

แคมเปญล่ารายชื่อถอดถอน กกต.ถูกจัดขึ้นทั้งในโลกอินเทอร์เน็ต ตั้งโต๊ะให้ประชาชนลงชื่อบนสกายวอล์ก ขยายสู่รั้วมหาวิทยาลัยทั่วทุกภาค

ยังรวมถึง “นักร้อง (เรียน)” ขาประจำ “ศรีสุวรรณ จรรยา” เลขาธิการสมาคมองค์การพิทักษ์รัฐธรรมนูญไทย ก็ออกโรงล่า 2 หมื่นชื่อเพื่อยื่นต่อคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (ป.ป.ช.) ให้ถอดถอน กกต.ออกจากตำแหน่ง ด้วยเหตุผล “กกต.ทำงานด้วยความไม่รอบคอบ ทำให้การจัดการเลือกตั้งเกิดปัญหา”

สถานการณ์เลือกตั้งร้อน ผลักให้ 7 เสือ กกต.อยู่ในสภาพ “ตั้งรับถอยสุดกู่” มากกว่า “เชิงรุก”

ตั้งรับด้วยการปรับ-เปลี่ยนตัวคนที่รับผิดชอบงานแถลงข่าว ตั้งโฆษกเฉพาะกิจรับหน้าที่โดยเฉพาะ

ตั้งรับ “ข่าวปลอม” ในโลกโซเชียลมีเดียด้วยการตั้งทีมเฉพาะกิจนั่งสแกนข่าวปลอม แก้ข้อสงสัย-ข้อกล่าวหาที่ระบาดอยู่ในโซเชียล เพื่อไม่ให้สถานการณ์บานปลาย

หากแต่ กกต.ชุด “อิทธิพร บุญประคอง” ไม่ได้เป็นชุดแรกที่เผชิญกับ “วิกฤตศรัทธา”

เมื่อทบทวนอดีต 21 ปีที่ กกต.กลายเป็น “หนังหน้าไฟ” เลือกตั้ง ในฐานะ “กรรมการการเมือง” ชุดที่โดนหนักที่สุดหนีไม่พ้น กกต.ชุด พล.ต.อ.วาสนา เพิ่มลาภ ที่ถูกตัดสินจำคุก 2 ปี ไม่รอลงอาญา ในความผิดฐานปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบตามประมวลกฎหมายอาญา ม.157 และ พ.ร.บ.คณะกรรมการการเลือกตั้ง พ.ศ. 2541 มาตรา 24 และ 42 กรณีที่ไม่เร่งสืบสวนสอบสวนข้อเท็จจริง ข้อร้องเรียนกล่าวหาพรรคไทยรักไทยว่าจ้างพรรคแผ่นดินไทย และพรรคพัฒนาชาติไทย ลงรับสมัครเลือกตั้งในวันที่ 2 เม.ย. 49 โดยพลันตามระเบียบ กกต. ว่าด้วยการสืบสวนสอบสวนข้อเท็จจริงและการวินิจฉัย พ.ศ. 2542 มาตรา 37, 48

กกต.ที่ถูกจำคุกมี 2 คน “พล.ต.อ.วาสนา เพิ่มลาภ” อดีตประธาน กกต. กับ “ปริญญา นาคฉัตรีย์” ส่วน “วีระชัย แนวบุญเนียร” เสียชีวิตไปก่อน

กระทั่ง 12 ธ.ค. 2559 ทั้ง “ปริญญา” และ “พล.ต.อ.วาสนา” ได้รับการพักโทษ โดยได้ต้องโทษจำคุกมาแล้ว 1 ปี 6 เดือน 13 วัน แต่หลังออกจากเรือนจำยังอยู่ในเงื่อนไขการคุมประพฤติของสำนักงานคุมประพฤติ ตามโทษจำคุกที่เหลือ 5 เดือน 22 วัน

ขณะที่ กกต.ชุด “ศุภชัย สมเจริญ” ที่พ้นวาระไปเพราะถูก “เซตซีโร่” ตามบทเฉพาะกาลของกฎหมายลูกว่าด้วย กกต. ก็เคยผ่านประสบการณ์วิกฤตศรัทธา

หลังเข้ารับตำแหน่ง กกต.ได้ไม่ถึงเดือน 5 เสือ กกต.ในเวลานั้นตั้งโต๊ะแถลงข่าวขอให้รัฐบาล ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร ที่ยุบสภาจาก “พิษนิรโทษกรรมสุดซอย” และกำหนดวันเลือกตั้งใหม่ คือ 2 ก.พ. 2557 แต่ฝ่าย กกต.แย้งว่าการเลือกตั้งจะซ้ำเติมวิกฤตการเมือง ถึงขั้น 5 เสือทำหนังสือที่ ลต. (กกต.) 0307 เรื่อง “ขอเสนอความเห็นเกี่ยวกับการเลือกตั้งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรเป็นการทั่วไป” ส่งไปถึง “ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร” นายกรัฐมนตรี เพื่อขอให้เลื่อนวันเลือกตั้งออกไป แต่ฝ่ายรัฐบาลยังยืนกรานท่ามกลางม็อบ กปปส.ที่บุกปิดหน่วยเลือกตั้ง

ในที่สุดการเลือกตั้ง 2 ก.พ. 2557 ก็ต้องถึงคราวอวสาน โดยศาลรัฐธรรมนูญวินิจฉัยให้การเลือกตั้งเป็นโมฆะ เพราะไม่สามารถจัดการเลือกตั้งวันเดียวกันทั่วราชอาณาจักร

ต่อมาพรรคเพื่อไทย-ผู้สมัคร ส.ส.ระดมเข้าแจ้งความ 5 เสือ กกต.ในฐานะละเว้นการปฏิบัติหน้าที่ แต่ท้ายที่สุดปัญหาอึมครึมก็หยุดลงด้วยการรัฐประหาร 22 พ.ค. 2557

ไม่ต่างจาก กกต.ยุค “อภิชาต สุขัคคานนท์” แม้การจัดเลือกตั้งทั่วไปทั้ง 2 ครั้ง คือ 23 ธันวาคม 2550 และ 3 กรกฎาคม 2554 ของ กกต.ในยุคนี้จะรอดพ้นปากเหว ไม่ถูกลากเข้าคุกเหมือนชุด พล.ต.อ.วาสนา

แต่ระยะทาง 7 ปีบนเก้าอี้ไม่ได้โรยด้วยดอกกุหลาบ ถูกคำครหาว่าสมคบคิดกับฝ่ายอำมาตย์ล้มรัฐบาลพรรคเพื่อไทย บางครั้งถูกลอบวางระเบิดหน้าบ้าน หลังถูกกล่าวหาเป็นจำเลยการเมืองว่าช่วยเหลือพรรคประชาธิปัตย์

โดยเฉพาะคดีเงินบริจาค 258 ล้านบาท และกรณีเงินกองทุนเพื่อการพัฒนาพรรคการเมือง จำนวน 29 ล้านบาท ของพรรคประชาธิปัตย์

ที่พรรคประชาธิปัตย์รอดพ้นจากการ “ถูกยุบพรรค” อย่างเฉียดฉิว เพราะศาลรัฐธรรมนูญตัดสินยกคำร้อง เพราะ “อภิชาต” ในฐานะนายทะเบียนพรรคการเมืองยังไม่ได้ให้ความเห็นในการยุบพรรค และยื่นคำร้องต่อศาลเกินกว่า 15 วัน

ครั้งหนึ่งในเดือนพฤษภาคม 2554 ก่อนการเลือกตั้ง 3 กรกฎาคมปีเดียวกัน เกิดข่าวปล่อยมาจากฟากฝั่งพรรคเพื่อไทยว่า “อภิชาต” ไปพบ “พล.อ.เปรม ติณสูลานนท์” ประธานองคมนตรี ณ บ้านสี่เสาเทเวศร์ เพื่อหารือล้มการเลือกตั้ง จนเขาถูกกล่าวหาว่า “สมุนอำมาตย์” “อภิชาต” ย้อนความหลังว่า “ผมไม่ใช่เด็ดขาด จำได้ไหมฮะผมไปปลุกเสกพระที่วัดบวรนิเวศฯแท้ ๆ ตั้งใจทำพระ กกต.ไปหาว่าเราไปพบท่านที่เรียกว่าอำมาตย์ ทุกคนเข้าใจว่าใคร แล้วมันอะไรกัน มันเป็นเรื่องที่ผมอดไม่ได้ นั่งรถมาทำงานก็ฟัง ประธาน กกต.ต้องชี้แจง จะไปชี้แจงอะไร ผมไม่ได้ไปพบท่านนั้นท่านนี้ แล้วเหมือนกับไปฟังคำสั่งท่าน”

“ซึ่งมันไม่ถูกเลยในเมื่อเราไม่เคยไป ไม่เคยไปบ้านใคร ไม่เคยไปหาใคร นักการเมืองยิ่งอยู่ห่าง ไม่ว่าฝ่ายไหนทั้งนั้น ยืนยันว่าผมมีความเป็นตัวของผมเอง”

“ผมเจอสารพัด เผาโลงศพใต้ตึก (สำนักงาน กกต.) ก็เคย เรียนตรง ๆ ไม่คิดว่ามาอยู่จนครบ 7 ปี งานหนัก กินข้าวต้องกินบนโต๊ะประชุม” 

“ครั้งหนึ่งบ้านผมถูกระเบิดสังหารของประเทศจีน ใหญ่กว่าสหรัฐอเมริกา เอาไปปามุมบ้านผม พอระเบิดขึ้นมาคิดว่าเป็นประทัดยักษ์ ที่ตำรวจบอกว่าประทัดยักษ์ เป็นประสบการณ์ยากจะลืมเลือน”