“ปิยบุตร แสงกนกกุล” เลขาธิการพรรคอนาคตใหม่ หรือ “อาจารย์ป๊อก” กำลังเดินเข้าสู่สภาผู้แทนราษฎรครั้งแรกในชีวิต พร้อมเพื่อน “ธนาธร จึงรุ่งเรืองกิจ” หัวหน้าพรรค และเพื่อน ส.ส.78 ชีวิต ในวันที่พรรคอนาคตใหม่ กำลังโดนถล่มจากทุกทิศทาง
ในจังหวะเดียวกับที่ “ธนาธร” ถูกลากขึ้นศาลรัฐธรรมนูญ จากพิษคุณสมบัติ “ถือหุ้นสื่อ” ไม่ต่างจาก “ปิยบุตร” ที่ต้องเผชิญคดี 2 คดีหนัก ฐานหมิ่นศาลรัฐธรรมนูญ จากกรณีอ่านแถลงการณ์ยุบพรรคไทยรักษาชาติ และ คดีนำเข้าข้อมูลอันเป็นเท็จสู่ระบบคอมพิวเตอร์
การเป็นเลขาธิการพรรคอนาคตใหม่ – นับ 1 การเป็นสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรเต็มขั้น ทำให้ชีวิต “ปิยบุตร” เปลี่ยนไป…ไม่เหมือนเดิมอีกต่อไป “ผมอยากจะแวะกินก๋วยเตี๋ยว จิบเบียร์ก่อนเข้าบ้าน หลังจบการสอนนักศึกษาได้เหมือนเดิม” แต่ก็คงทำไม่ได้แล้ว
สปอตไลท์การเมืองฉายจับไปที่ตัวเขา ไปที่ไหนคนก็รู้จัก แต่เขายอมแลก..
“อาจารย์ป๊อก” ได้เปิดเผยกับ “ประชาชาติธุรกิจ” ถึงเรื่องราวส่วนตัวว่า “ผมเป็นคนชอบการเมืองมาตั้งแต่เด็ก ติดตามตลอด เรียกได้ว่าจำชื่อผู้สมัคร ส.ส. ได้หมดเลย และผมก็เห็นว่าการเมืองเหมือนมวยปล้ำ จึงคิดว่าอยากเป็นนักวิชาการมาโดยตลอด แต่การเป็นนักวิชาการความคิดที่เสนออะไรต่าง ๆ มักจะไม่ได้ทำ หาพรรคดี ๆ เข้ามาทำไม่ได้ จึงเข้ามาถึงจุดที่ว่างั้นเราเข้ามาทำเอง”
ชีวิตเดิมที่ไม่เหมือนเดิม
หลังจากที่ตัดสินใจถอดชุดนักวิชาการ มาสวมชุดนักการเมือง เข้าสู่การทำงานในรูปแบบใหม่ที่ต้องยอมรับเลยว่าชีวิตเปลี่ยนไปเยอะมาก แต่ในส่วนของเวลาผมเข้าใจดีว่าไม่ว่าจะทำงานอะไรคุณก็ต้องใช้เวลาทุ่มให้กับสิ่งที่ทำ ตอนเป็นอาจารย์ก็ใช้เวลาทุ่มให้กับการเป็นอาจารย์ พอมาเป็นนักกการเมืองก็ทุ่มให้กับการเป็นนักการเมือง แต่สิ่งหนึ่งที่เปลี่ยนไปแล้วก็ต้องยอมรับก็คือชีวิตความเป็นส่วนตัวจะลดน้อยถอยลง ไปปรากฎตัวที่ไหนคนรู้จักมากขึ้น ซึ่งเป็นเรื่องปกติ โดยเฉพาะหลังเลือกตั้งจะเอาเรื่องการใส่ร้ายป้ายสี ล่าแม่มดกลับมา ความปลอดภัยเป็นสิ่งที่ต้องระวังมากขึ้น ทำให้ชีวิตที่เราอยากจะใช้แบบเดิมเริ่มทำไม่ได้แล้ว อย่างจะแวะกินข้าวต้มสักถ้วย กินเบียร์สักขวดก่อนเข้าบ้าน ซึ่งผมเองก็อยากทำแบบเดิม แต่การทำอะไรแบบเดิมมันไม่ใช่แค่ตัวผมคนเดียว แต่มันเป็นเรื่องของพรรคด้วย ซึ่งก็ทำใจไว้ล่วงหน้า
เรื่องวิถีชีวิตเปลี่ยนเพื่อให้เข้ากับงานในหน้าที่เป็นสิ่งที่เข้าใจได้ แต่สิ่งที่ตระหนักทบทวนตลอดเวลาคือเรื่องความคิดว่ายังเป็นตัวของเราอยู่ไหม ผมตรวจสอบทุกวันว่ายังไม่เปลี่ยน ยังสนใจเรื่องงานวิชาการ อย่างช่วงหยุดสงกรานต์ที่ผมไปหาภรรยาที่ฝรั่งเศส เป็นเวลาที่ผมได้กลับไปอ่านหนังสืออีกรอบแบบหนัก ๆ ทั้งวัน อ่านเสร็จตามนิสัยคันมือ อยากโพสต์เล่าให้คนอื่นฟัง แต่ตอนนี้หลัง ๆ ก็เริ่มโพสต์ยากขึ้นแล้ว เพราะเดี๋ยวสำนักข่าวต่าง ๆ นำไปขยายความ ทำให้ตอนนี้ผมอ่านแล้วก็เก็บไว้กับตัว ซึ่งก็เสียดายแทนที่จะนำมาเล่าให้คนฟัง มาเขียนให้คนได้อ่าน แต่ก็ทำไม่ได้ ดังนั้นการได้ออ่านหนังสือวิชาการก็ถือว่าเป็นช่วงเวลาที่คิดถึง
ครอบครัวว่าอย่างไร ?
ผมไม่รู้จะเรียกว่าพ่อแม่เข้าใจหรือไม่เข้าใจ แต่เขารู้ว่าผมเป็นแบบนี้ ทุกวันนี้ในเรื่องของความเป็นห่วงเขาก็ยังคงมี แต่เป็นโชคดีของผมคือไม่มีใครคัดค้าน บางคนเป็นปัญหาครอบครัวได้เลย และส่วนของผมภรรยาผมเข้าใจดีมาก แล้วชีวิตที่ต้องอยู่คนละประเทศ ถ้าหากว่าเราต้องอยู่ร่วมกันในประเทศเดียวกัน ที่เดียวกัน ภายใต้การบังคับให้คนอีกคนหนึ่งต้องทิ้งสิ่งที่ตัวเองอยากทำ ผมคิดว่าไม่แฟร์
เช่น ผมอยู่เมืองไทยคุณต้องกลับมาอยู่กับผม และสอนหนังสือในมหาวิทยาลัยสักแห่ง แต่เขาไม่สามารถไปในระดับนานาชาติได้ เขาต้องมาอยู่ตรงนี้ โอเค..วันแรกอาจจะดี แต่วันข้างหน้าเดี๋ยวทะเลาะกันก็จะต้องโยนเรื่องนี้ว่าเธอมาบังคับฉัน เช่นเดียวกัน ถ้าผมทิ้งงานที่นี่หมดแล้วไปอยู่ฝรั่งเศส ผมอาจจะไปเป็นเด็กเสิร์ฟ เป็นอาจารย์มหาวิทยาลัย ต่าง ๆ ซึ่งวันแรก ๆ มันคงดี แต่วันต่อ ๆ ไป อาจจะมีคิดว่าทำไมไม่กลับประเทศแล้วไปทำอย่างที่เราต้องการ ซึ่งก็ต้องทะเลาะกันอีก
ความรัก แบบ ‘ปิยบุตร‘
ผมพูดอยู่บ่อย ๆ ว่า ความรักแบบโรแมนติกแบบเดิมคือจะเอาสองสิ่งมาผนวกกันให้เป็นหนึ่ง ต้องรวมเปลี่ยนชีวิตทุกคนมารวมให้เป็นหนึ่ง แต่ความรักของผมที่คิด คือ ต้องแตกให้เป็น 2 ให้ได้ คือ เขาก็ใช้ชีวิตของเขา แล้วเราก็หาเวลามาเจอกันแทน ซึ่งผมดูไปดูมามันก็ลงตัวดี ลองคิดดูถ้าเขาต้องมาอยู่กับผมช่วงที่ผมหาเสียง หรือประชุมอยู่ในพรรค กลับบ้านตี 1 ตี 2 ทุกวันแล้วเขานอนรออยู่ที่บ้าน คงไม่ใช่ครอบครัวที่ดีเท่าไหร่ ดังนั้นก็ต่างคนต่างทำงานของตัวเองไปแล้วหาเวลาบางช่วงบางตอนมาเจอกัน เช่นเมื่อเขามาสัมนาแถบเอเชียเขาก็จะแวะมา หรือผมหาเวลาไป และผมคิดว่านี่คือโชคดีของผมที่คนรอบข้างเข้าใจ
“มีเพลงฝรั่งเศสอยู่เพลงหนึ่งเพลงที่บอกว่า ‘I have two love’ มีรักสองแบบ ในเนื้อเพลงคือเขารักบ้านเกิดเขาด้วย และก็รักที่ปารีสด้วย เวลาที่ผมฟังก็รู้สึกดี เพราะเวลาผมไปออยู่ที่ฝรั่งเศสผมก็ชอบ แต่ถามว่าคุณเกิดมาเป็นคนไทยมันจะตัดขาดไปเลยก็ไม่ได้ โดยเฉพาะการเมืองที่เป็นแบบนี้ผมก็คิดว่าน่าจะมีศักยภาพที่จะเปลี่ยนอะไรได้ ทำอะไรได้ ผมก็อยากเข้ามาทำ ตั้งใจ ตัดสินใจแล้วจึงอยากจะทำให้เต็มที่”
โลกการเมืองในความคิดก่อน-หลังเข้ามาต่างกันไหม ?
โลกการเมืองทั้งก่อนและหลังเข้ามาไม่ต่างจากสมุติฐานของผม เพราะการเมืองไทยภาพเป็นยังไง ความน่ากลัวอยู่ตรงไหนทุกคนก็ทราบดีอยู่แล้ว และผมก็ตามการเมืองตลอดก็ทราบดีอยู่แล้วว่าเข้ามาแล้วจะต้องเจออะไร เพียงแต่ว่าโลการเมืองที่ต่างก็รู้ว่ามันไม่ดีอยู่แล้วเราอยากจะเปลี่ยนอะไรมัน ดังนั้นผมจึงเข้ามาอยู่กับมันโดยยอมรับความเสี่ยงเพื่อที่จะเข้ามาเปลี่ยนมัน
เรื่องอะไรที่ทำให้รู้กสึกท้อ ?
ผมคิดว่าสิ่งหนึ่งที่กระทบคือข้อพิพากษ์วิจารณ์จากคนที่คิดเรื่องประชาธิปไตยเหมือนกัน แต่หลัง ๆ ก็ทำความเข้าใจ และก็รับฟังข้อวิจารณ์เหล่านั้นมาโดยตลอด อ่านทั้งหมด เพราะก่อนนอนครึ่งชั่วโมงผมจะต้องเช็กโซเซียลเพื่อที่จะดูว่าสังคมเขาจะว่าอย่างไร และมีเข้าไปดูสมาชิกพรรคด้วยว่าเขาทำอะไรกันบ้าง (หัวเราะ)”
มีวิธีให้กำลังใจตัวเองอย่างไร ?
เวลาที่ผมท้อก็จะโทรคุยกับภรรยา ซึ่งบางวันได้ไม่นาน เพราะผมก็ไม่ไหวกลับบ้านมาก็เหนื่อยอยากจะนอนดังนั้นบางทีก็คุย 3 นาที 5 นาที หรือ 10 นาทีก็มี ซึ่งการคุยก็เพื่อจะดึงตัวผม และเขาก็จะบอกว่าตัดสินใจแล้ว ต้องลุยแล้ว อีกหนึ่งเรื่องที่เขาก็มักจะบอกกับผมตลอดว่า นักวิชาการมันกลับไปเป็นได้ตลอด ถ้าตราบใดที่มือผมยังพิมพ์ได้ เขียนได้ ตาไม่บอด และสมองยังทำงาน ความจำยังใช้ได้อยู่ถึงจะอายุ 60-70 ก็ยังได้ แต่ห้วงเวลาในทางการเมืองจังหวะที่จะได้เข้ามามันไม่ได้มีบ่อย ๆ ซึ่งเวลาคุยกับเขาก็จะคุยในเรื่องลักษณะแบบนี้ หรือบางทีคิดถึงเรื่องทางวิชาการก็พูดคุยแลกเปลี่ยนกัน “และอีกสิ่งหนึ่งที่จะชุบชีวิตผมเวลาท้อทุกครั้งเลยก็คือการกลับไปอ่านหนังสือวิชาการ ซึ่งไม่รู้ว่าเป็นวิธีที่ปะหลาดไหมแต่พอผมกลับไปอ่านก็ทำให้รู้สึกดีขึ้นตลอด”
เลขาธิการพรรคต้องครบเครื่องการเมือง มีทั้งแบบสีเทา ๆ ปิยบุตรเป็นเลขาธิการพรรคแบบไหน?
เป็นเลขาธิการพรรคสีส้มละกัน อะไรที่ผิดกฎหมาย เป็นเรื่องทุจริต คอรัปชั่น แลกเปลี่ยนสินบน ผมยืนยันว่าไม่ทำ ซึ่งไม่ได้หมายความว่าผมเป็นเลขาธิการพรรค แต่ไม่ว่าใครก็ตามที่มาเป็นเลขาธิการพรรคที่มารับหน้าที่บทบาทในเรื่องนี้จะไม่ทำ
“ด้านหนึ่งที่ผมเรียนอยู่ตลอดเราต้องการเปลี่ยนการเมืองไทยให้ได้ อีกด้านหนึ่งต้องการสกัดไม่ให้เผด็จการทหารฉวยโอกาสเข้ามายึดอำนาจบ่อย ๆ นักการเมืองก็ต้องปรับ ถ้านักการเมืองสร้างมาตรฐานการเมืองใหม่ไม่ได้ วันข้างหน้าก็วนลูปเดิมตลอดเวลา ซึ่งผมคิดว่าเรื่องนี้เป็นเรื่องสำคัญ ดังนั้นเราจึงให้ความสำคัญเป็นพิเศษตั้งแต่วันก่อตั้งพรรค พยายามเซ็ตอุดมการณ์ความคิดอันนี้ให้ได้ ถ้าอุดมการณ์ฝังลงไปได้จริง ใครมาเป็นก็ต้องเดินตามแบบนี้”