“วิรัช” วิปกันรัฐบาลล่ม ดีลปิดลับ สัมพันธ์ลึก 19 พรรค

สัมภาษณ์พิเศษ

โดย ปิยะ สารสุวรรณ

เสถียรภาพของ “รัฐบาล พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา” ภาคต่อ จาก “รัฐบาลทหาร-คสช.” ต่างกันราวฟ้ากับเหว เมื่อ “พล.อ.ประยุทธ์” กลายเป็น “ยักษ์ไม่มีกระบอง” เป็นรัฐบาลผสมถึง 19 พรรค-เสียงปริ่มน้ำ

“วิรัช รัตนเศรษฐ” ส.ส.บัญชีรายชื่อ พรรคพลังประชารัฐ ว่าที่ประธานคณะกรรมการประสานงานพรรคร่วมรัฐบาล หรือ “ประธานวิปรัฐบาล” สนทนากับ “ประชาชาติธุรกิจ” อ่านปัจจัยชี้ขาดที่จะทำให้รัฐบาลพลังประชารัฐ “เสียงปริ่มน้ำ” สามารถ “ลอยคอเหนือน้ำ” ไปตลอดรอดฝั่ง และ “เคล็ดลับ” การประคองจำนวนเสียง-จำนวนมือในสภา ไม่ให้ขาด-ลา-มาสาย

เตรียมพร้อม 24 ชั่วโมง

“วิรัช” ผู้คุมเสียง-กำหนดจังหวะลมหายใจพรรคร่วมรัฐบาล ยกตัวอย่างสมัย “รัฐบาลอภิสิทธิ์” ที่เสียงเกินระดับ “ปริ่มน้ำ” ไม่มาก แต่อยู่ได้จนใกล้ครบวาระ จนเปิดให้มีการเลือกตั้ง ขณะที่ “รัฐบาลยิ่งลักษณ์” มีเสียงเข้มแข็งแต่ไปไม่รอด

ทำให้ “วิรัช” มองทะลุชอตถึงปัจจัยที่จะทำให้รัฐบาลอยู่ครบเทอม 4 ปี จะต้อง “เตรียมพร้อม-รู้เขา รู้เรา”

“รัฐบาลประชาธิปัตย์ช่วงแรกอาจจะขลุกขลัก เพราะยังเขย่าไม่เข้าที่ แต่พอเข้าที่แล้วอยู่นาน อยู่นานจนเกือบครบ แก้รัฐธรรมนูญเสร็จก็ยุบสภา ก็ไปได้ ขณะเดียวกัน รัฐบาลเสียงมากของเพื่อไทย เกินไป 30-40 เสียง แต่มีแรงปัจจัยภายนอกมากดดัน กลายเป็นการต่อสู้นอกสภา และเป็นแรงกดดันเข้าไปอีกจนกระทั่งยึดอำนาจ ฉะนั้น มีอะไรเข้าไปพูดกันในสภา”

ส่วนการประสานภายในพรรคพลังประชารัฐ และระหว่างพรรคร่วมรัฐบาล เขามั่นใจว่าจะมา “ครบองค์” และ “เอาอยู่” แม้เสียง “พรรคร่วมรัฐบาล” จะมากกว่า “พรรคฝ่ายค้าน” ไม่ถึง 10 เสียง ! “องค์ประชุมไม่ครบก็ทำให้ครบ

องค์ประชุมไม่มากก็ทำให้มาก วันนี้มีใครมาประชุมบ้าง พรรคไหนมาน้อยต้องแจ้ง พลังประชารัฐใครขาดต้องให้ชี้แจง ถ้ามาแล้วหายก็ตรวจสอบ มีมาตรการป้องปรามจากน้อยไปหามาก”

“รอดูไปเรื่อย ๆ อาจจะอยู่นานกว่าปกติก็ได้ เตรียมพร้อมอยู่ตลอดเวลา เสียงมาก ๆ ไม่เคยไปหาหมอเลย แต่เสียงปริ่ม ๆ ให้หมอตรวจทุกวัน ตรวจทุกโรคก็ไปได้”

บังเกอร์รัฐบาลบิ๊กตู่

“วิรัช” ยอมรับว่า อาการ “แข็งข้อ” ของ 10 พรรคจิ๋ว-การกลับลำของพรรครักษ์ผืนป่าฯ จนเกิดการตีรวน-ต่อรองเก้าอี้รัฐมนตรีในช่วง “ฟอร์ม ครม.ประยุทธ์2/1” อยู่นอกเหนือ “งานรูทีน” ของประธานวิปรัฐบาล การบริหารจัดการองค์ประชุมไม่ดี อาจทำให้รัฐบาลเสียศูนย์บ้าง แต่ไม่ถึงขั้นเสียหาย

“ไม่ใช่เป็นหน้าที่ผม เป็นหน้าที่ของการจัดตั้งรัฐบาล แต่พอเขามาอยู่ตรงนี้ เขาก็พร้อมใจกัน ก็ไม่เห็นว่าเขาแสดงออกว่าเขาจะไม่โหวตให้เรา”

“เดี๋ยวทางข้างบน (รัฐบาล) เขาว่ากันเอง เรามีหน้าที่งานสภา งานสภาต้องไปให้ราบรื่น แต่ถ้ามันจะติดขัดมาจากข้างบน ไม่ใช่เป็นเพราะความบกพร่องของวิปรัฐบาล แต่เรารู้ว่า วันนี้เขาอยู่ หรือวันนี้เขาไม่อยู่กับเรา”

“แต่งานรูทีนแบบนี้ไม่มีที่ไหนในโลก เพราะอยู่ที่หน้างาน เราไม่รู้เลยว่าเหตุการณ์วันนี้จะเกิดขึ้นที่ไหน ไม่มีโอกาสได้รู้ แต่เราต้องพยายามผสานเพื่อให้มีเรื่องการปะทะ หรือบาดหมางน้อยที่สุด”

อุบัติเหตุทางการเมืองปม 54 เสียง ส.ส.พรรคร่วมรัฐบาล-ฝ่ายค้าน “ถือหุ้นสื่อ” ที่รอศาลรัฐธรรมนูญวินิจฉัยชี้ขาด เป็นปัญหาหน้างาน-เหตุการณ์เฉพาะหน้าที่รอพิสูจน์ฝีมือ “ว่าที่ประธานวิปรัฐบาล” บริหารเสียงในสภาให้ครบองค์ได้หรือไม่

“ถ้าเกิดมีอุบัติเหตุทางการเมืองขึ้นมา มันก็ไม่ใช่ความผิดของวิปในการทำหน้าที่ไม่ดี แต่มันเป็นอุบัติเหตุที่เกิดขึ้นจากศาลรัฐธรรมนูญวินิจฉัย” เขาออกตัวก่อนศาลรัฐธรรมนูญชี้ขาดคุณสมบัติ ส.ส. 54 ชีวิต พันหุ้นต้องห้าม

ดีลสิบทิศ-สารพัดมุ้ง

สิ่งนอกเหนือการควบคุมของ “ว่าที่ประธานวิปรัฐบาล” ในการบริหารความรู้สึก จัดแถวกลุ่ม-ก๊วน-มุ้ง “คนอกหัก” จากเก้าอี้ในรัฐบาล พล.อ.ประยุทธ์ 2/1 ไม่ให้แตกแถวจนเกิดการต่อรอง-สั่นสะเทือนไปยังตึกไทยคู่ฟ้า ทำเนียบรัฐบาล

โดยเฉพาะ “วาระร้อน” ส่งผลกระทบต่อการอยู่-การไปของรัฐบาล เช่น ร่าง พ.ร.บ.งบประมาณ ปี 2563 การเปิดอภิปรายไม่ไว้วางใจรัฐมนตรีรายตัว-นายกรัฐมนตรี หลังจากมีบททดสอบ-วัดกำลังในการเลือกรองประธานสภา คนที่ 1

“เป็นผู้แทนฯแต่ไม่ผ่านงบประมาณ ชาวบ้านด่าตาย บางคนถ้าเขารู้ว่าทำอะไรแล้วจะเจอกับผลจากการกระทำนั้น ต้องเลือกตั้งใหม่ เหนื่อย บางทีเขาอาจจะไม่ทำก็ได้ เขาอาจไม่ยกมือให้เรา แต่เขาก็ไม่ยกมือให้ฝั่งโน้น หรืองดออกเสียง”

“ทำอย่างไรที่จะไม่ให้คิดว่ามี 19 พรรค ทำอย่างไรให้คิดว่าเป็นพรรคเดียวกัน คือ พรรครัฐบาล ถ้าคิดว่าเป็นพรรครัฐบาล พรรคของประชาชน มันก็จบ”

“ไม่มีใครไปไหนหรอก ถ้า 253 เสียง หักประธานสภา (นายชวน หลีกภัย) ไปคนหนึ่ง ก็เหลือ 252 ก็เต็มเปรี๊ยะ เขา (ฝ่ายค้าน) จะบีบยังไงก็ไม่ขึ้นไปกว่า 244 เสียง เรา (ฝ่ายรัฐบาล) ก็ไม่ได้มากไปกว่านี้ เขาก็อยู่แค่นั้น เราก็อยู่แค่นี้ ก็ผ่าน”

“เสียงฉิวเฉียด (เลือกรองประธานสภาคนที่ 1) มันก็เป็นไปตามธรรมชาติ เราอาจจะประมาทด้วย เราไม่ย้ำ ไม่เตือน แต่ต่อไปนี้จะเตือนตลอด ต้องย้ำให้อยู่กันให้ครบ”

“ไม่มี นอกจากยกมือไหว้ ขอบคุณ อย่างอื่นไม่มีเลย ไม่มีอุปกรณ์ใด ๆ ทั้งสิ้น” วิรัชยอมรับว่าไม่มีเครื่องมือ-ตัวช่วยเป่ากระหม่อมพรรคร่วมรัฐบาลตีรวน-พรรคฝ่ายค้านร้อนวิชา

เคล็ดลับแก้เสียงปริ่มน้ำ

รัฐธรรมนูญฉบับมีชัย ถูกดีไซน์-ล็อกผล “รัฐบาล พล.อ.ประยุทธ์สอง” ออกมาเป็น “รัฐบาลผสม 19 พรรค” เสียงปริ่มน้ำ-ไม่เบ็ดเสร็จเด็ดขาด การรักษาองค์ประชุมจึงส่งผลต่อการแพ้-ชนะในเกมกลางสภา

“วันนี้พรรคร่วมรัฐบาล 253 เสียง พรรคฝ่ายค้าน 244 เสียง ในทางตัวเลขห่างกันไม่ถึง 10 เสียง แต่การเป็นรัฐบาล การเป็นผู้แทนฯของรัฐบาล เราถูกกำหนดว่า องค์ประชุมต้องครบ มาก่อนกลับหลัง”

“องค์ประชุมเป็นของพวกเรา ถ้าจะประชุม องค์ประชุมต้องครบ ถ้าขาดแสดงว่า บกพร่อง การทำงานจะประสานกันก่อนว่า วันนี้จะเอาญัตติอะไรเข้าบ้าง จะทำงานกันอย่างไร”

“ว่าที่ประธานวิปรัฐบาล” ยกภาพจำลองเหตุการณ์-สถานการณ์จริงของการ “ดีล” กับพรรคฝ่ายค้าน-พรรคร่วมรัฐบาล และรัฐมนตรีในรัฐบาล-คสช. เพื่อ “สับราง” กระทู้สด-กระทู้แห้ง ทั้งราคาสินค้าเกษตรตกต่ำ ธรรมาภิบาลโครงการสัมปทานของรัฐที่ “จ่อคอหอย” ในสภาล่าง

“สิ่งที่เราทำวันนี้ ทำอย่างไรที่จะมีการพบปะหารือ และพูดคุยกันทั้งสองฝ่าย ถ้าเรื่องอื่นมาตั้งแง่ตั้งงอน ไปหักร้างกัน ไม่มีการพูดจากันก่อน สภาก็ไม่สงบ พูดจากระทบกันไป กระทบกันมา ไม่สงบหรอก”

“วิรัช” ใช้ “เคล็ดลับ” ที่ทำให้พรรคร่วมรัฐบาล-พรรคฝ่ายค้าน “ร่วมมือ” ยอม “หุบฝีปาก” เปิดแผล-ซักฟอกรัฐบาล-คสช.ในสภา จนกระทบกระทั่งไปถึง พล.อ.ประยุทธ์ “ว่าที่ผู้นำรัฐบาลใหม่” คือ การลดอายุ-อาวุโสทางการเมือง เพื่อ “ลดดีกรี” ความร้อนแรงวาระปากท้อง-การเมือง ตั้งแต่ในชั้นกรรมาธิการวิสามัญ

“แม้ว่าเราจะอายุมากกว่า อาวุโสกว่า ก็ไปคุยกับเขา สิ่งที่ได้มาคือ ความร่วมมือ การให้ความผูกพันฉันพี่น้อง วันนี้มาตั้งกรรมาธิการวิสามัญ กำหนดว่าจะพิจารณากี่วัน สัดส่วนกรรมาธิการเท่าไหร่ จะพูดเรื่องอะไรก่อน-หลัง ทำงานไปด้วยกัน”

“การบอกว่าเป็นรัฐบาลเสียงปริ่มน้ำ คนที่พูดขีดเส้นเอาเองว่า เราอยู่ฝั่งนี้ เขาอยู่ฝั่งนั้น ไม่ใช่ ทุกคนอยู่ฝั่งเดียวกันหมด คือ ฝั่งที่ทำให้ประชาชนมีความสุข”

“สิ่งที่จะเห็น คือ การประนีประนอม แต่ไม่ได้หมายความว่า รู้กัน หรือรู้เห็นเป็นใจกัน แต่เป็นการทำงานร่วมกันอย่างฉันมิตร”

สัมพันธ์ลึก ไม้เด็ด

“วิรัช” อดีต “คนใน” เพื่อไทย ผูกพันกับประชาธิปัตย์ มีภูมิใจไทยเป็นเพื่อน-พ้อง-น้องพี่ เขาจึงเชื่อว่า “ความผูกพันส่วนตัว” จะเป็น “ไม้เด็ด” ทำให้ “งานสภา” เป็นไปด้วยความราบเรียบ ทั้งฝ่ายรัฐบาล-ฝ่ายค้าน

“ไม่ได้เอาเปรียบเขา แต่ไม่ให้วนเวียนซ้ำซาก การพูดนานไม่ใช่ว่าจะดี พูดให้พอดี ๆ ถ้าเรื่องมันใหญ่ก็พูดมากหน่อย ถ้าเรื่องมันเล็กก็พูดพอดี ๆ”

“ผมเดินตลอด คุยกับเพื่อไทยแล้ว เดี๋ยวมานั่งคุยกับอนาคตใหม่ คุยได้ คุยได้หมดแหละ แม้กระทั่งคนที่คุยไม่รู้เรื่อง ผมก็คุยได้รู้เรื่อง อย่าไปบอกว่า เขาคุยไม่รู้เรื่อง คุยรู้เรื่องหมดทุกคน ผมก็มีแต่ไม้ (เด็ด) ของผม คือ มานั่งคุยกัน”

แม้ “วิรัช” จะเป็น “คนโปรด” ของ “พี่ใหญ่ คสช.” ภายหลังสร้างผลงาน “เข้าเป้า” ชนะรบ-สมรภูมิสีแดง แต่เขาไม่ยอมปริปากว่า ใคร คือ “ผู้มีบารมี-คนโบกธง” อยู่บนยอดขุนเขา


“อันนี้ก็เป็นความลับสิ ผมจะไปบอกได้ยังไง มีการประสานงานตลอดทุกขั้น ทุกตอน ไม่อย่างนั้นไม่มีทางตั้งขึ้นมาเป็นพรรคพลังประชารัฐ ไม่สามารถตั้งรัฐบาลได้”