“ทักษิณ” ทิ้งเพื่อไทย ตั้งไข่พรรคใหม่ ไม่หยุดการเมือง

ข่าวลือดังอึกทึกครึกโครมก้องไปทั้งกระดานการเมือง กับกรณี “ทักษิณ ชินวัตร” อดีตนายกรัฐมนตรี นายใหญ่แดนไกล วัย 70 ปี กำลังคิดจะวางมือทางการเมือง

สำทับด้วยการโพสต์ลงทวิตเตอร์ส่วนตัว @ThaksinLive ระบุว่า “วันเกิดครบ 70 ปีของผม หลายท่านแจ้งว่าจะมาร่วมงาน ผมต้องขอโทษด้วยที่ไม่ได้จัดงานในปีนี้ ผมคงทานข้าวกับลูกหลานในบ้าน ซึ่งสถานที่มีจำกัด และอากาศที่ดูไบร้อนเกือบ 50 องศา ไม่สามารถจัดนอกอาคารได้ ขอบคุณทุกท่านสำหรับความปรารถนาดี และยังนึกถึงกันเสมอครับ”

กลายเป็นเรื่องประหลาดใจของคนในเพื่อไทย ที่ทุกปี “ทักษิณ” จะเปิดบ้านต้อนรับ ส.ส.ที่ไปอวยพร – ต่อรองขอตำแหน่ง แสดงบทบาท และเป็นเวทีปล่อยของ – ปล่อยข่าวที่สำคัญ

แต่ปีนี้ “ทักษิณ” ประกาศ “ปิดบ้าน”

นอกจากนี้ “เฮียเพ้ง”  พงษ์ศักดิ์ รักตพงศ์ไพศาล  อดีต รมว.พลังงาน และแกนนำพรรคเพื่อไทย ในฐานะลูกน้องมือขวาของทักษิณ ระดับออแกไนเซอร์จัดโผคณะรัฐมนตรีให้นาย

ประกาศต่อหน้า ส.ส.พรรคเพื่อไทยที่ไปร่วมงานเลี้ยงวันเกิดครบรอบ 69 ปี ว่าขอยุติบทบาททางการเมืองตั้งแต่วันนี้เป็นต้นไป เนื่องจากอายุเยอะแล้วและได้ทำการเมืองมานานพอสมควร วันนี้จึงอยากหยุดเพื่อพักผ่อน

ขณะที่ “ภูมิธรรม เวชยชัย” เลขาธิการพรรค “พ่อบ้านคนสำคัญ” ของพรรคเพื่อไทยก็ประกาศวางมือแบบ “ปัจจุบันทันด่วน” ด้วยเหตุผลง่ายๆ ว่า เป็นเลขาธิการพรรคมานาน ควรเปิดให้คนรุ่นใหม่เข้ามาทำหน้าที่ ทั้งที่เป็นมือหลักประสานงาน 7 พรรคร่วม ในการเดินเกมการเมืองฝ่ายค้านสู้กับฝ่ายรัฐบาล หลบฉากไปช่วยงานเบื้องหลังในฝ่ายกฎหมาย เคียงข้าง “ชูศักดิ์ ศิรินิล” ประธานคณะทำงานฝ่ายกฎหมายพรรคแทน

นับจากนี้ อาจเห็นบุคคลการเมืองของเพื่อไทยถอยฉากไปทีละรายสองราย สวนทางกับคนการเมืองฝั่ง “คุณหญิงสุดารัตน์ เกยุราพันธุ์” ที่จะรับเก้าอี้ “ประธานพรรค” ควบประธานคณะกรรมการยุทธศาสตร์

เป็นการเปลี่ยนขั้วการเมืองภายในเพื่อไทย ครั้งสำคัญ เพราะการเข้ามา “เต็มตัว” ของคุณหญิง พา “น.อ.อนุดิษฐ์ นาครทรรพ” มาเป็นเลขาธิการพรรค นอกจากนี้ ยังมีข่าวว่า เตรียมนำลูกมือในสังกัด กทม. อย่าง “จิรายุ ห่วงทรัพย์” ส.ส.กทม.ดาวสภาคนใหม่ของเพื่อไทย เข้ามาเป็นมือไม้ในตำแหน่งรองเลขาธิการพรรค นายณรงค์ รุ่งธนวงศ์ หัวหน้าศูนย์ข้อมูลและสถิติ กองอำนวยการเลือกตั้งพรรค, นายจิรายุ ห่วงทรัพย์ ส.ส.กทม. นางอรุณี ชำนาญยา อดีตส.ส.พะเยา

เด็กในคอนโทรลของ “ภูมิธรรม” ที่ยังเหลืออยู่ในบอร์ดบริหารเพื่อไทย เช่น “เผ่าภูมิ โรจนสกุล”

ขณะที่รองหัวหน้าพรรค ฝั่งเจ้าแม่ กทม.- สุดารัตน์ เลือกบาลานซ์อำนาจ กับกลุ่มก๊วนต่างๆ จึงมีข่าวว่า หัวหน้าก๊ก-ก๊วน สายแข็ง – สายนายใหญ่

นายเกรียง กัลป์ตินันท์ หัวหน้ากลุ่ม ส.ส.อีสานใต้ นายกิตติรัตน์ ณ ระนอง อดีต รมว.คลัง มือเศรษฐกิจในรัฐบาลยิ่งลักษณ์ ชินวัตร นายวิทยา บุรณศิริ อดีต ส.ส.อยุธยา อดีตประธานวิปรัฐบาล สายแข็งภาคกลาง

ด้าน “คุณหญิงสุดารัตน์” ได้เคยเอ่ยปากถึงสิ่งที่พรรคเพื่อไทย ต้องแก้ไขโดยยกทฤษฎี 2 โลก คือ โลกใบแรกคือ ส.ส.ภูธร ไม่ชำนาญเทคโนโลยี ไม่ทันสมัยใช้ไลน์แค่สวัสดีตอนเช้า  ส่วนอีกโลกหนึ่งคือ ส.ส.กทม.และนักเลือกตั้งรุ่นใหม่ที่ใช้เทคโนโลยี ใช้โซเชียลมีเดียเข้าถึงชาวบ้านได้มากกว่า

ไม่แปลกที่เพื่อไทยจะ ดึงทีมงานจาก “ทวิตเตอร์ไทยแลนด์” ไปบรรยายการใช้ทวิตเตอร์ ไปบรรยายเรื่องการใช้ทวิตเตอร์ให้กับคนในพรรค

คุณหญิงสุดารัตน์ กล่าวว่า ส.ส.ต้องปรับตัวให้เข้ากับยุคของโซเชียลมีเดีย ตนผ่านการหาเสียงมาตั้งแต่ใช้กาวแป้งเปียกทาแผ่นกระดาษหาเสียงเอ 4 ไปติดฝาบ้าน มาจนถึงยุคแผ่นป้ายแผ่นพับ ตอนนี้ยุคโซเชียลมีเดียจำเป็นต้องปรับตัว ต้องรู้เทคนิคที่จะทำอย่างไรให้ทวิตเตอร์ของเราปังโดนใจมากขึ้น

นับจากนี้ไป กลุ่มเจ้าแม่ กทม.ขึ้นกุมบังเหียนเพื่อไทยเสร็จสรรพ

แม้ว่า “ทักษิณ” จะวางมือจากเพื่อไทย แต่ใช่ว่า “ทักษิณ” จะยอมละทิ้งการเมือง

แหล่งข่าวใกล้ชิดนายใหญ่ทักษิณ บอกความเคลื่อนไหวทักษิณว่า ท่านทักษิณเห็นแล้วว่ารัฐธรรมนูญฉบับปัจจุบันถึงอย่างไรก็ต้องแตกพรรคออกไปแบบพรรคไทยรักษาชาติ จะมีแค่พรรคเพื่อไทยพรรคเดียวคงเป็นไปไม่ได้ และพรรคเพื่อไทยเวลานี้ “รีโนเวต” ยาก มีปัญหาเยอะ ดังนั้น จึงจำเป็นต้องตั้งพรรคใหม่ เพียงแต่ขณะนี้ยังไม่ถึงเวลา

ขณะที่อดีตสมาชิกเพื่อไทย ซึ่งย้ายสำมะโนครัวไปไทยรักษาชาติ กระทั้งเกิดปรากฏการณ์ 8 ก.พ.เชื่อว่า นายใหญ่ยังจำเป็นต้องใช้พรรคการเมืองในการเคลื่อนไหวทางการเมือง เพราะมีปัจจัยเรื่องนายพานทองแท้ ชินวัตร บุตรชาย ยังต้องขึ้นศาลอาญาคดีทุจริตและประพฤติมิชอบกลาง ในคดีกรุงไทยเป็นเหตุผลสำคัญ เพราะขนาดเคลื่อนไหวยังโดนขนาดนี้ ถ้าอยู่นิ่งๆ คงจะถูกกระทำฝ่ายเดียว

ตราบใดที่ พรรคการเมืองยังคงเป็นเครื่องมือสำคัญ “ทักษิณ” ยังไม่หยุดเคลื่อนไหวการเมือง

ขณะที่อดีตไทยรักษาชาติ บางส่วนที่ยังไม่กลับเข้าเพื่อไทย ยังคง wait and see ดูท่าทีนายใหญ่อย่างใจจดใจจ่อ

“ทักษิณ” ยังคงไม่ยุติบทบาทการเมือง เพียงแต่ปล่อยให้พรรคเพื่อไทยไปตามยถากรรม

ไม่ต่างจาก “ไทยรักไทย” เหลือเพียงแค่ซาก  “ทักษิณ” และกรรมการบริหารอีก 104 คน ทิ้งพรรคไทยรักไทย พลันที่ถูกรัฐประหาร 19 ก.ย. 2549 ผ่านไปแค่ 12 วัน