อินไซด์หลังม่าน “งูเห่า” เพื่อไทย ไขรหัสมือปริศนา หนุนญัตติร้อนรัฐบาล “บิ๊กตู่”

แม้ว่า “บิ๊กป้อม” พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกรัฐมนตรี ในฐานะประธานคณะกรรมการยุทธศาสตร์พรรคพลังประชารัฐ (พปชร.) ประกาศ “อ้าแขนรับ” ว่าที่ 14 ส.ส.เพื่อไทย ที่ปรากฏกายไปกินข้าวกับแกนนำกลุ่มสามมิตรฝ่ายรัฐบาล ก่อนวันอภิปรายทั่วไปไม่ลงมติเมื่อ 18 ก.ย.ที่ผ่านมา

กลายเป็นซีรีย์ “งูเห่า” ภาคใหม่หลังการเลือกตั้ง ถึงขั้น “คุณหญิงสุดารัตน์ เกยุราพันธุ์” ประธานคณะกรรมการยุทธศาสตร์เพื่อไทย บอกว่า มีหลักฐานเป็นคลิปเสียง-ไลน์ ว่ามีการดูดงูเห่าเกิดขึ้น สอดคล้องกับบรรดาลูกหาบในเพื่อไทย ออกมาตีปี๊บแฉขบวนการดูดงูเห่ากันยกใหญ่

ไป ๆ มา ๆ เป็นวิวาทะผ่านสื่อ เมื่อทั้ง “พล.อ.ประวิตร” และ “สมศักดิ์ เทพสุทิน” รมว.ยุติธรรม แกนนำกลุ่มสามมิตร ท้าให้เจ้าแม่เพื่อไทยเปิดคลิปโชว์ “ไหนล่ะ มีเปล่า และเขาเปิดเปล่า” พล.อ.ประวิตรกล่าว

ด้าน “คุณหญิงสุดารัตน์” ตอบโต้โดยไม่มีการนำคลิปมาเปิดว่า “คลิปเสียงและไลน์ที่เป็นหลักฐาน เราได้รวบรวมให้กับฝ่ายกฎหมายดำเนินการ เราไม่ได้ต้องมาบลัฟทางการเมือง เพราะวันที่ให้สัมภาษณ์ไปครั้งแรกก็ไม่ได้บลัฟใคร ดังนั้นไม่ต้องการบลัฟใคร แต่หวังจะเอามาดำเนินคดีทางกฎหมาย”

อย่างไรก็ตาม สถานการณ์ในพรรคเพื่อไทย ที่มีต่อปรากฏการณ์ 14 ส.ส. ซึ่งยกพลไปกินโจ๊กกับแกนนำ พปชร. ไม่ได้ตื่นเต้น-ตีปี๊บตามบรรดาแกนนำโดยส่วนใหญ่มองว่าเป็นเรื่องของ “พรรค-พวก” อีกทั้ง ในยามที่เพื่อไทยตกอับเป็น “ฝ่ายค้าน” ท่อน้ำเลี้ยงไม่อู้ฟู่เหมือนในอดีต ทำให้ ส.ส.ต้องเอาตัวรอด

แต่เบื้องลึกเบื้องหลัง ทุกคนต่างทราบทางข่าวดีว่า ส.ส.กลุ่มดังกล่าว ไปกินข้าวกับแกนนำ พปชร.ไม่น้อยกว่า 4-5 ครั้ง ภายใต้ข้อตกลงที่เป็นลักษณะยกมือสนับสนุนรัฐบาลในเรื่องสำคัญเป็นกรณีๆ ไป แต่ไม่ใช่ยกขบวนไปเป็นกลุ่ม-ก๊ก เหมือนที่เคยเกิดขึ้นก่อนเลือกตั้ง

ส.ส.ภาคอีสานรายหนึ่ง ที่ไม่เปิดเผยนามแต่ไม่ได้อยู่ในกลุ่มที่ไปกินข้าวเช้า ระบุว่า “ส.ส.อีสาน ทราบอยู่แล้วว่า 14 ส.ส. ไปกินข้าวกับกลุ่มสมศักดิ์ เทพสุทิน แต่ก็ไม่ใช่เรื่องแปลกประหลาด เพราะความเป็นพรรคเป็นพวก เป็นนักการเมือง รู้จักกันอยู่ และการโหวตครั้งสำคัญ ๆ เช่น โหวตร่าง พ.ร.บ.งบประมาณรายจ่ายประจำปี 2563 ฝ่ายรัฐบาลไม่ปล่อยให้ล่มอยู่แล้ว อย่างไรก็ชนะโดยไม่ต้องพึ่งเสียงของฝ่ายค้านอยู่แล้ว”

“แต่ผู้ใหญ่ในเพื่อไทย ไปตีปี๊บให้เข้าทางฝ่าย พปชร.ให้เป็นข่าว แต่เปรียบเหมือนลูก ถ้าลูกกลับบ้านค่ำแล้วไปตีลูก บ่อย ๆ เข้า ลูกอาจหนีออกจากบ้าน”

ขณะที่ ส.ส.อีสานอีกราย ประเมินเพื่อน ส.ส.ร่วมพรรค ว่า คงไม่มีใครลาออกจากเพื่อไทย โดยเฉพาะ ส.ส.อีสาน ถ้าย้ายไปเท่ากับประหารชีวิตตนเองในทางการเมือง เพราะจะสอบตกแน่นอน แต่จะถูกใช้บริการจากฝ่าย พปชร.บ้างบางครั้งเพื่อเล่นเกมในสภา เช่น กรณีที่ฝ่ายรัฐบาลไม่พร้อม จะใช้ ส.ส.เพื่อไทยบางคน และ ส.ส.ฝ่ายรัฐบาล ไม่ลงชื่อเข้าร่วมประชุมเพื่อถ่วงเวลาการเปิดประชุม หรือให้ยกมือโหวตในบางญัตติที่สำคัญ

สอดรับกับสายข่าวฝั่ง พปชร. ที่แกนนำสามมิตร “เปิดเจรจา” กับ ส.ส.อีสานเพื่อไทย ที่ขอให้เป็น “มือปริศนา” 20 เสียง พร้อมจะโหวตสวน-งดออกเสียงโหวตเป็นครั้งคราว ในการโหวตกฎหมายสำคัญ ตัวอย่าง “โมเดล” ที่เคยทำให้เห็นมาแล้ว กรณีญัตติตั้ง กมธ.วิสามัญศึกษาผลกระทบโครงการระเบียงเศรษฐกิจภาคตะวันออก (อีอีซี) ก็เคยมี ส.ส.กลุ่มหนึ่งจากพรรคเพื่อไทย รวมถึงพรรคร่วมฝ่ายค้านบางส่วนไม่เข้าร่วมประชุมมาแล้ว จนทำให้การตั้ง กมธ.ล้มไป

แต่ในจังหวะเดียวกัน มีการประเมินถึงแนวโน้มที่พรรคเพื่อไทย ขับ ส.ส.กลุ่มดังกล่าวออกจากพรรคนั้น ในทางปฏิบัติอาจเกิดขึ้นยาก เพราะต้องใช้เสียงในที่ประชุมคณะกรรมการบริหารพรรคไม่น้อยกว่า 3 ใน 4 ของที่ประชุม ให้มีมติ

“ไล่ออก-ขับออก” ตามรัฐธรรมนูญ 2560 มาตรา 101(9) ทำให้ ส.ส.ที่ถูกขับออกจากพรรค สามารถเข้าสังกัดพรรคใหม่ได้ภายใน 30 วันนับแต่วันที่พรรคมีมติ แต่หากพ้น 30 วันไปแล้วถือว่าสิ้นสุดสมาชิกภาพนับแต่วันดังกล่าว

ในความเป็นจริง 14 ส.ส.อีสาน อาจเหยียบเรือสองแคม หลอกกินกล้วยจากคนเลี้ยงลิงที่อยู่ พปชร.ไปเป็นนัดต่อนัด แมตช์ต่อแมตช์ ดีกว่าเป็น “งูเห่า” เต็มตัว ย้ายสับขั้วเสี่ยงสอบตกตอนเลือกตั้ง และต่อให้ปันใจ-เพื่อไทยไม่มีทางขับออก เว้นแต่เปิดหน้าแสดงตัวชัดเจนเหมือนที่เคยเกิดขึ้นกับ ร.ต.ปรพล อดิเรกสาร อดีต ส.ส.สระบุรี และนายจุมพฏ บุญใหญ่ อดีต ส.ส.สกลนคร ประกาศย้ายไปอยู่พรรคภูมิใจไทยอย่างชัดแจ้ง กระทั่งเพื่อไทยมีมติขับออกจากพรรคเมื่อปี 2553