วิษณุ ชี้ พ.ร.บ.งบปี 63 คว่ำ รัฐบาลอยู่ไม่ได้

มติชนออนไลน์

เมื่อเวลา 10.00 น. วันที่ 8 ตุลาคม ที่ตึกบัญชาการ 1 ทำเนียบรัฐบาล นายวิษณุ เครืองาม รองนายกรัฐมนตรี ให้สัมภาษณ์ถึงกรณีที่ชี้แจงในที่ประชุมคณะรัฐมนตรี (ครม.) เมื่อวันที่ 7 ตุลาคม ว่ารัฐมนตรีที่เป็น ส.ส. สามารถลงมติร่างพระราชบัญญัติ (พ.ร.บ.) งบประมาณรายจ่ายประจำปี 2563 ได้ ว่า มีการสงสัยกันในเรื่องดังกล่าว เพราะรัฐธรรมนูญแต่ละฉบับเขียนไว้ไม่เหมือนกัน แต่เราได้ทำความเข้าใจแล้วว่ารัฐธรรมนูญฉบับปัจจุบันสามารถลงมติได้

ทั้งนี้ เกิดจากความเคยชินเนื่องจากรัฐธรรมนูญ 2540 ระบุว่าเมื่อ ส.ส.มาเป็นรัฐมนตรีจะต้องลาออกจากส.ส.ภายใน 30 วัน ฉะนั้น จะเหลือแต่ความเป็นรัฐมนตรี ซึ่งไม่สามารถไปโหวตอะไรในสภาฯได้ ต่อมารัฐธรรมนูญปี 2550 เขียนอีกแบบหนึ่งว่า ส.ส.เป็นรัฐมนตรีได้โดยไม่ต้องลาออก แต่รัฐมนตรีจะลงมติในเรื่องที่ตนมีส่วนได้เสียไม่ได้ จึงทำให้รัฐมนตรีหลายคนที่เป็นส.ส.ไม่กล้าโหวตในเรื่องงบประมาณ และไม่กล้าโหวตในเรื่องการอภิปรายไม่ไว้วางใจตัวเอง

แต่เมื่อมาถึงรัฐธรรมนูญฉบับปัจจุบัน ส.ส. เป็นรัฐมนตรีในเวลาเดียวกันได้ และไม่ได้ระบุเหมือนแต่ก่อนว่าจะลงมติในเรื่องที่ตนมีส่วนได้เสียไม่ได้ ประเด็นนี้ถูกตัดออกไปแล้ว ซึ่งก็แปลว่าสามารถลงมติได้ แต่โดยมารยาทแล้วในการลงมติไม่ไว้วางใจตัวเอง ไม่ควรจะลงมติ แต่ในเรื่องการเสนอกฎหมาย จะเป็นเรื่องงบประมาณหรือกฎหมายอะไรก็แล้วแต่ ไม่ใช่เป็นเรื่องมีส่วนได้เสียส่วนตัว แต่เป็นส่วนได้เสียส่วนรวม ฉะนั้น รัฐธรรมนูญไม่ได้ห้าม และโดยสรุปก็มีรัฐมนตรีที่เป็นส.ส. มีความสงสัยอยู่ 19 คน สามารถลงมติในเรื่องงบประมาณเช่นเดียวกับลงมติในเรื่องอื่น ๆ ได้

เมื่อถามว่า นายกรัฐมนตรีได้กำชับรัฐมนตรีอย่างไรบ้าง นายวิษณุกล่าวว่า นายกฯ ก็บอกให้รัฐมนตรีที่เป็นส.ส.เข้าประชุมอย่างพร้อมเพรียงกัน ด้วยเหตุว่าในฐานะที่เป็นรัฐมนตรี จะเป็นส.ส.หรือไม่เป็น ส.ส. ก็ตาม ก็ต้องเข้าประชุม เพราะเป็นเรื่องงบประมาณ หากมีการสอบถามเรื่องของกระทรวงใดก็สามารถที่จะช่วยอธิบายได้ โดยเฉพาะในวาระที่หนึ่ง

ขณะเดียวกัน นายกฯยังกำชับว่า จะต้องมีการตั้งคณะกรรมาธิการ (กมธ.) วิสามัญพิจารณาร่างพ.ร.บ.งบประมาณรายจ่ายประจำปี 2563 เอาไว้พิจารณาในชั้นแปรญัตติ จึงขอให้ผู้แทนรัฐบาลที่มีอยู่ 15 คน ที่จะไปเป็นกมธ. ควรเป็นคนที่มีเวลาว่างเป็นหลัก ไม่ใช่ไปเป็นโก้ ๆ หลายคนคิดว่าการไปเป็นกมธ.งบประมาณ เป็นเกียรติยศ แต่ความจริงต้องนั่งประชุมตลอดเวลาถึง 60 วัน เพราะจะต้องพิจารณากฎหมายยาวนานที่สุด

และแม้จะไม่ได้ทำหน้าที่ประธานหรือรองประธานก็ถือเป็นกมธ. ซึ่งที่ประชุมจะต้องดูไปทีละมาตรา ส่วนรายชื่อรัฐมนตรีที่จะมาเป็นกมธ.ในส่วนรัฐบาล ยังได้รายชื่อไม่ครบ แต่ได้ 3 รายชื่อที่จะเป็นตัวแทนหลัก ได้แก่ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงการคลัง และปลัดกระทรวงการคลัง ในส่วนที่เหลือจะให้แต่ละพรรคการเมืองไปหาและนำมาเสนอโดยไม่ต้องนำรายชื่อเข้าครม.อีก แต่ให้แจ้งไปที่รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลังและสำนักงบประมาณเพื่อประสานกับคณะกรรมการประสานงานพรรคร่วมรัฐบาล (วิปรัฐบาล) โดยรายชื่อไม่จำเป็นต้องเป็นรัฐมนตรี เพราะมีจุดอ่อนที่อาจจะไม่มีเวลาไปนั่งเป็นกมธ.

เมื่อถามย้ำว่า การอภิปรายร่างพ.ร.บ.งบประมาณฯ สภาฯได้แจ้งมาหรือไม่ว่าจะใช้เวลากี่วัน นายวิษณุกล่าวว่า เรื่องนี้รัฐบาลเป็นฝ่ายเปิดประชุมสมัยวิสามัญแห่งรัฐสภาในวันที่ 17 ตุลาคม และปิดประชุมวิสามัญฯ ในวันใดวันหนึ่ง ซึ่งคาดว่าจะมีเวลารวมกันทั้งหมดประมาณ 3-4 วัน ซึ่งก็ต้องไปแบ่งกันเอง ถ้าส.ว.ไม่เอา ส.ส.ก็ได้ไปทั้งหมด แต่ถ้าส.ว.เอา ก็ต้องเหลือให้ส.ว.สัก 1 วันหรือครึ่งวัน ก็ขอให้วิปรัฐบาลไปตกลงกันเอง แต่ส.ว.ก็ขอเวลาไว้แล้ว เพราะเขามีเรื่องที่จะต้องทำเหมือนกัน ไม่มีปัญหาอะไร แต่อย่างน้อยเบื้องต้น 2 วันอยู่แล้ว ซึ่งตรงกับวันพฤหัสบดีและวันศุกร์ ถ้าเลยจากนั้นก็เป็นวันเสาร์และวันอาทิตย์

เมื่อถามว่า ร่างพ.ร.บ.งบประมาณฯ ถ้าหากไม่ผ่านสภาฯ จะมีผลอย่างไรกับความรับผิดชอบทางการเมืองและทางกฎหมาย นายวิษณุกล่าวว่า หลักของการปกครองในระบอบประชาธิปไตยในระบบรัฐสภา มีอยู่แล้วว่าอะไรก็ตามที่สภาฯเสียงข้างมากไม่ไว้วางใจรัฐบาล รัฐบาลนั้นก็ไม่พึงจะอยู่ต่อไป ซึ่งการไม่ไว้วางใจนั้นแสดงออกได้ 2 อย่าง คือ

1.ไม่ไว้วางใจโดยเปิดเผย ตรงนี้ทำโดยการลงมติไม่ไว้วางใจ

2.ไม่ไว้วางใจโดยปริยาย จะแสดงออกจากการที่รัฐบาลเสนอร่างกฎหมายสำคัญเข้าสภาฯ แล้วสภาฯลงมติให้ไม่ผ่าน ซึ่งก็แปลว่าสภาฯไม่ยอมให้เครื่องมือรัฐบาลไปทำงาน รัฐบาลก็ไม่ควรจะต้องอยู่ แต่วิธีที่จะไม่อยู่นั้น สามารถทำได้ 2 อย่าง คือ 1.ทำโดยรัฐบาลลาออก หรือ 2.ทำโดยออกด้วยกันทั้งคู่ เพราะการที่สภาฯไม่เห็นชอบนั้น ไม่รู้ว่าประชาชนเขาคิดอย่างไร จึงยุบสภาแล้วไปเลือกตั้งเพื่อให้ประชาชนตัดสินใจ

ดังนั้น ทางออกสามารถทำได้ 2 อย่าง ซึ่งเป็นเรื่องทั่วไป ไม่ใช่เรื่องแปลก และเราก็ปฏิบัติอย่างนี้ตลอดมา โดยในอดีตก็เคยมีรัฐบาลที่ลาออกเพราะสภาฯลงมติไม่ผ่านกฎหมาย แต่ก็มีรัฐบาลที่ไม่ลาออกแม้สภาฯลงมติไม่ผ่านกฎหมายเช่นกัน เพราะถือว่าไม่ใช่กฎหมายสำคัญ แต่สำหรับกฎหมายงบประมาณนั้นเป็นกฎหมายสำคัญ