ฝ่ายค้านเผด็จศึก “บิ๊กตู่” รื้อกฎหมาย ตัดวงจร “องค์กรลับ”

รายงานพิเศษ

 

อาจเป็นเดิมพันครั้งสำคัญในการวางยุทธวิธีรบทางการเมือง บนดิน-ใต้ดิน ของ “พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา” นายกรัฐมนตรีและ รมว.กลาโหม เพราะหลังคณะรักษาความสงบแห่งชาติ (คสช.) หมดอำนาจ และมาตรา 44 สิ้นอิทธิฤทธิ์

หันมาใช้อาวุธใหม่ที่ชื่อ “กองอำนวยการรักษาความมั่นคงภายในราชอาณาจักร” (กอ.รมน.) จากที่เคยปฏิบัติการด้านความมั่นคงตั้งแต่ยุคสงครามเย็น มาสู่การปฏิบัติการรบทางการเมืองในที่แจ้ง

ตามท้องเรื่อง กอ.รมน.ยุคปัจจุบัน ที่คำสั่งหัวหน้า คสช.ฉบับที่ 51/2560 อัพเกรด กอ.รมน.ให้เป็นเสมือน “รัฐซ้อนรัฐ” เพราะในคำสั่งข้อ 1 ที่ไปแก้นิยาม “การรักษาความมั่นคงภายในราชอาณาจักร” ในมาตรา 3 แห่ง พ.ร.บ.การรักษาความมั่นคงภายในราชอาณาจักร พ.ศ. 2551 โดยให้ใช้ถ้อยคำว่า

“การดำเนินการเพื่อป้องกัน ควบคุม แก้ไข และฟื้นฟูสถานการณ์ใดที่เป็นภัย หรืออาจเป็นภัยอันเกิดจากบุคคลหรือกลุ่มบุคคลที่ก่อให้เกิดความไม่สงบสุข ทำลาย หรือทำความเสียหายต่อชีวิต ร่างกาย หรือทรัพย์สินของประชาชนหรือของรัฐ รวมถึงในกรณีที่เกิดหรือคาดว่าจะเกิดสาธารณภัยตามกฎหมายว่าด้วยการป้องกันและบรรเทาสาธารณภัยให้กลับสู่ภาวะปกติ เพื่อให้เกิดความสงบเรียบร้อยของประชาชนหรือความมั่นคงของรัฐ”

“สถานการณ์ใดที่เป็นภัย” จึงถูกตีความครอบจักรวาล ไม่เว้นเวทีสัมมนาแก้รัฐธรรมนูญของ 7 พรรคฝ่ายค้าน

คล้อยหลัง “พล.ต.บุรินทร์ ทองประไพ” ผู้ชำนาญการสำนักงาน กอ.รมน. ภาค 4 ส่วนหน้า แจ้งความร้องทุกข์ดำเนินคดีกับแกนนำพรรคฝ่ายค้านและนักวิชาการ จำนวน 12 คน

ในความผิดตามมาตรา 116 เนื่องจากจัดเวทีเสวนา หัวข้อ “พลวัตแก้ปัญหาจังหวัดชายแดนภาคใต้ สู่นับหนึ่งรัฐธรรมนูญใหม่” ในพื้นที่ จ.ปัตตานี โดยมีเนื้อหายุยง ปลุกปั่น เมื่อ 4 ต.ค.

7 ฝ่ายค้าน เพื่อไทย อนาคตใหม่ ประชาชาติ เพื่อชาติ เสรีรวมไทย พลังปวงชนไทย เศรษฐกิจใหม่ ประชุมสุมหัวแก้เกมกันทันที

ค้นคิดปฏิบัติการโต้กลับ strike back ที่มีการวางลำดับเป็นขั้น… เกิดขึ้นใน 48 ชั่วโมงต่อมา

เดินหน้าฟ้อง-สอย “บิ๊กตู่”

7 ฝ่ายค้านเปิดฉากตอบโต้ฟ้องกลับเป็นสเต็ปแรก ด้วยการแจ้ง 2 ข้อกล่าวหา “พล.ต.บุรินทร์” นักร้อง (เรียน) แห่งกองทัพ แถมยังลาก “พล.ท.พรศักดิ์ พูลสวัสดิ์” แม่ทัพภาคที่ 4 ในฐานะ ผอ.รมน.ภาค 4 ในฐานะผู้บังคับบัญชา ติดร่างแห

“ฐานแจ้งความอันเป็นเท็จเกี่ยวกับความผิดอาญาต่อพนักงานสอบสวนเพื่อจะแกล้งให้บุคคลใดต้องรับโทษ และฐานหมิ่นประมาทโดยการโฆษณา ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 137, 172, 174, 326 และ 328”

ขณะเดียวกัน 7 ฝ่ายค้านยังเล็งผลเลิศ ถึงขั้นฟ้อง พล.อ.ประยุทธ์ เพื่อให้แสดงตัวรับผิดชอบ ตามที่ “ชัยเกษม นิติสิริ” ในฐานประธานคณะกรรมการยุทธศาสตร์พรรคด้านการตรวจสอบกระบวนการยุติธรรมและอำนาจรัฐ ของพรรคเพื่อไทย กล่าวว่า “แม้ว่ายังไม่มีใครสืบว่าจะถึงตัวนายกฯ ในฐานะผู้บังคับบัญชาหรือไม่ แต่วันหนึ่งข้อกฎหมายและข้อเท็จจริงจะปรากฏเองว่าจะไปถึงใครบ้าง”

ด้าน “พ.ต.อ.ทวี สอดส่อง” เลขาธิการพรรคประชาชาติ บอกว่า กอ.รมน. ซึ่งนายกฯเป็นผู้บังคับบัญชาสูงสุด เท่ากับนายกฯเป็นผู้สั่งการให้มีการดำเนินคดี

ลาก “บุรินทร์” ขึ้นเขียง

สเต็ปที่ 2 สิ่งที่ 7 พรรคฝ่ายค้านเตรียมเปิดปฏิบัติการในชั้น “สภาผู้แทนราษฎร” ในฐานะฝ่ายถ่วงดุลอำนาจฝ่ายรัฐบาล โดยใช้กลไกคณะกรรมาธิการ (กมธ.) 2 คณะ 1.กมธ.ด้านความมั่นคง ที่มี “พล.ท.พงศกร รอดชมภู” รองหัวหน้าพรรคอนาคตใหม่ เป็นประธาน และ กมธ.การกฎหมาย การยุติธรรมและสิทธิมนุษยชน ที่มี “ปิยบุตร แสงกนกกุล เลขาธิการพรรคอนาคตใหม่ เป็นประธาน เข้ามาตรวจสอบ กอ.รมน.

โดย กมธ.การกฎหมายฯ ของ “ปิยบุตร” เตรียมส่งหนังสือเรียก “พล.ต.บุรินทร์” มาสอบข้อเท็จจริง ว่า ดูองค์ประกอบความผิดของกฎหมายอาญา มาตรา 116 อย่างไร

ขณะที่ชุดของ “พล.ท.พงศกร” จ่อเรียก กอ.รมน. มา “ปรับทัศนคติ” ปรับวิธีการทำงานให้เป็นประชาธิปไตย

ยกเครื่อง กอ.รมน.-ฟ้องมั่ว

สเต็ปที่ 3 “ปิยบุตร” มีแพ็กเกจพิเศษ 2 วาระ 1.เตรียมจัดวาระปฏิรูป กอ.รมน. ด้วยการเสนอแก้กฎหมาย คือ พ.ร.บ.รักษาความมั่นคงภายในราชอาณาจักร พ.ศ. 2551 อันจะนำไปสู่การปรับ-ลดอำนาจ กอ.รมน. ที่ถูกอัพเกรดขึ้นตามคำสั่ง คสช.ที่ 51/2560

“ไม่เช่นนั้นหลักการรัฐบาลพลเรือนอยู่เหนือทหารเกิดขึ้นไม่ได้ พอ คสช.ออกไป เขาก็แปลงร่างมาในระบบชื่อว่า กอ.รมน. ใช้กลไกนี้ทำงาน เป็นเหมือน คสช. ภาค 2 ซึ่งขณะนี้กำลังศึกษา และจะผลักดันเป็นร่างกฎหมายเข้าสภา”

2.เตรียมแผนการร่างกฎหมาย anti-slap “ปิยบุตร” บอกว่า “เรื่องนี้ผมเป็นคนเขียน คือ กฎหมายการป้องกันการฟ้องคดีแบบกลั่นแกล้งกัน บางทีคนแสดงความเห็นแล้วมีคนไปฟ้องคดีปิดปาก หรือคิดต่างเพื่อไม่ให้พูด จะแก้ไขตรงนี้ แต่ทั้ง 2 โครงการยังศึกษารายละเอียด แต่จะผลักดันเข้าสู่การพิจารณาของสภาผู้แทนราษฎร”

ย้อนเกล็ดฟ้องกลับ

ขณะที่ “พล.ท.ภราดร พัฒนถาบุตร” อดีตเลขาธิการสภาความมั่นคงแห่งชาติ (สมช.) ในฐานะที่ปรึกษาพรรคเพื่อไทย ฉายภาพยุทธวิธีโต้กลับฝ่ายค้านว่า ในชั้นนี้แจ้งความเท็จก่อน สาระอื่น ๆ ฝ่ายกฎหมายกำลังประเมินเพิ่มเติม เพราะการกระทำแบบนี้ เพื่อสนองตอบผู้บังคับบัญชา แต่ไม่สนองตอบการแก้ปัญหาปัจจุบันและในอนาคต เป็นเงื่อนไขนำไปสู่ความไม่สงบเรียบร้อยเสียเอง

“การร้องของ พล.ต.บุรินทร์ แบบนี้จะทำให้มีโอกาสถูกฟ้องกลับ และถ้ามัวแต่ไปเป็นตัวแทนผู้บังคับบัญชาฟ้องคนอื่น เจ้าทุกข์ตนเองก็มีเต็มไปหมด ซึ่งต่อไปจะมีคนไปร้องต่อ กมธ.กฎหมายฯ ที่มีนายปิยบุตรเป็นประธาน แล้วจากนั้นจะกลายเป็นเจ้าทุกข์ย้อนรอยกลับมาอีก แล้ววันนั้น พล.ต.บุรินทร์ไม่ต้องทำอะไร ตัวเองต้องไปแก้คดีเอง”

“ส่วนจะร้องกี่คดี จะดูในเนื้อหาสาระ เพราะถ้าไม่มีมาตรการตอบโต้เช่นนี้ เขาจะเกิดความย่ามใจ หรือสำคัญผิดว่าสิ่งที่ใช้ดุลพินิจถูก ทำให้ผู้บังคับบัญชาเดือดร้อนเสียเอง”

“บุรินทร์” ไม่หวั่นฝ่ายค้าน

ขณะที่คนต้นเรื่อง “พล.ต.บุรินทร์” แม้ 7 ฝ่ายค้าน มีแผนจ่อเรียกมาสอบปากคำที่สภา แต่เขายืนยันว่าไม่เกรง-กลัว

“ผมพร้อมไปชี้แจงต่อ กมธ.กฎหมาย การยุติธรรม และสิทธิมนุษยชน หากเชิญมา ไม่มีอะไรต้องกลัว ซึ่งผมจะชี้แจงว่าทำตามหน้าที่ในฐานะผู้ได้รับมอบอำนาจ ส่วนเรื่องรายละเอียดของคดี ผมไม่สามารถพูดได้ เป็นความลับ ให้ไปว่ากันในชั้นศาล”

เมื่อเกมแก้รัฐธรรมนูญ ถูกเคลื่อนวาระมาสู่เกมที่เสี่ยงคุก เสี่ยงตะรางอีกหนพรรคฝ่ายค้านถือไพ่ในมือเรื่องการเสนอกฎหมาย เพราะแค่มี ส.ส. 20 เสียง ก็สามารถเสนอร่างแก้กฎหมายอำนาจ กอ.รมน.ได้

และในภาวะรัฐบาลเสียงปริ่มน้ำ นักเลือกตั้งสายพันธุ์เดียวกัน อาจร่วมมือโหวตผ่านกฎหมายที่ “ลดอำนาจกองทัพ” แบบ “ทางอ้อม” ที่ไม่ใช่เล่นงานกันตรง ๆ แบบตีแสกหน้า

การใช้กลไก กอ.รมน.ที่ถูกอัพเกรดในช่วงท้าย คสช. มาฟาดฟันคู่แข่งการเมือง อาจเป็น “เกมใต้ดิน” เสี่ยงที่ย้อนถึงตัว “พล.อ.ประยุทธ์” ในวันที่ไร้อำนาจ ม.44