ปิยบุตร : อนาคตใหม่…ฆ่าไม่ตาย 69 ดวงใจในร่างพรรคใหม่ เจรจาชนชั้นนำ

มติ 5 ต่อ 2 ของคณะกรรมการการเลือกตั้ง (กกต.) ส่งให้ศาลรัฐธรรมนูญยุบพรรคอนาคตใหม่ จากปมเงิน 191 ล้าน ของ “ธนาธร จึงรุ่งเรืองกิจ” หัวหน้าพรรค ที่ให้พรรคตัวเองกู้ยืมไปใช้ ไม่เหนือความคาดหมายจากผู้สังเกตการณ์การเมือง

ปม “เงินกู้” นำพาพรรคอนาคตใหม่ไปสู่แดนอันตรายสู่การยุบพรรค แถมยังมีคดีล้มล้างการปกครองเสียบไว้อีก 1 คดี

“ประชาชาติธุรกิจ” สนทนากับ “ปิยบุตร แสงกนกกุล” เลขาธิการพรรคอนาคตใหม่ ในวันรุ่งขึ้นที่ กกต.มีมติยุบพรรค ถึงเส้นทาง ในละครยุบพรรค

ฉากจบที่จะทำให้ผู้มีอำนาจคิดผิด หากคิดจะยุบอนาคตใหม่

@ ฉากจบหนังยุบพรรคที่ไม่เหมือนเดิมเป็นอย่างไร

1.13 ปี ที่ผ่านมา เป็นกฎหมายนิยมล้นเกิน เนื่องจากอยากจะใช้อำนาจต่างๆ เพื่อให้อำนาจดูชอบธรรมก็พยายามใช้กฎหมายแทนที่จะใช้กฎหมายให้สมเจตนารมณ์ แต่การใช้กฎหมายใช้เพื่อจับผิด เทคนิคเล็กๆ น้อยๆ พลิกอย่างนั้น อย่างนี้ เพื่อจะจับผิดกัน จะตรวจสอบกัน 2. Law fare นิติสงคราม ใช้อาวุธประหัตประหารกันไม่ได้ แต่ใช้กฎหมายแทนเพื่อมาจัดการศัตรูทางการเมือง 13 ปีเป็นอย่างนี้ หวังว่าจะมีบทเรียน และพยายามเปลี่ยนยุทธศาสตร์แบบนี้เสีย แล้วเดินหน้าเข้าสู่การเมืองแบบใหม่ ด้วยการเริ่มต้นกันใหม่ แต่ปรากฏว่า เมื่อประสบกับตนเองคิดแล้วว่าเกมกฎหมายนิยมล้นเกิน นิติสงครามแบบนี้ยังคงทำงานต่อ

ในด้านคดีความคงต้องสู้ไป แต่ในท้ายที่สุดถึงเวลาที่ต้องตั้งคำถามไปดังๆ ว่าประเทศไทยจะเดินหน้าด้วยวิธีการแบบนี้หรือ วิกฤตการณ์ความขัดแย้งที่ผ่านมา องค์กรอิสระถูกตั้งคำถามถึงความเป็นธรรม ถูกใช้มาเป็นเครื่องมือหรือไม่ ถ้าเดินซ้ำแบบเดิมอีกก็ทำให้คนเห็น

ผู้สนับสนุนพรรคอนาคตใหม่จำนวนมาก ไม่ทันเห็นเหตุการณ์เมื่อ 13 ปีที่แล้ว ที่มีการยุบ 3 พรรคการเมือง คือ พลังประชาชน ชาติไทย มัชฌิมาธิปไตย เมื่อ 2 ธ.ค.2550 แต่งวดนี้จะทำกับพรรคอนาคตใหม่ ก็จะทำให้คนอีกเจเนอเรชั่นเห็นเรื่องเกี่ยวกับการใช้กฎหมายเป็นเครื่องมือแบบเดิม หนังม้วนเดิมกำลังจะฉายซ้ำ แต่คาดว่าจะจบไม่เหมือนเดิม เพราะถ้าจบเหมือนเดิม หมายความว่า 10 ปีผ่านไป มีพรรคการเมืองขึ้นมาอีกแล้วผู้มีอำนาจไม่นิยมชมชอบ คิดว่าดีดนิ้วแล้วต้องจัดการ ก็จะเอาหนังม้วนนี้มาฉายใหม่ ก็จะฉายได้เรื่อยๆ ดังนั้น ผมและสมาชิกพยายามต่อสู้ไม่ให้จบแบบเดิม เพื่อที่จะได้ไม่กลับมาอีก

สิ่งที่จะไม่ให้กลับมาอีก คือ รณรงค์ทุกวัน ว่ากระบวนการแบบนี้ไม่ได้แก้ปัญหา 1.เคยยุบพรรคมาแล้วไม่รู้กี่พรรค แล้วพรรคที่ถูกยุบก็ไปตั้งพรรคใหม่แล้วชนะเลือกตั้งเหมือนเดิม 2.ตอกลิ่มความขัดแย้งของคนในชาติเข้าไปอีก มีการแบ่งเป็นฝ่ายนั้น ฝ่ายนี้ 3.เอาต้นทุนของสถาบันการเมืองที่สำคัญมากและเป็นประโยชน์ต่อประเทศเสรีประชาธิปไตย อย่างสถาบันตรวจสอบ ศาลรัฐธรรมนูญ เอามาใช้เพื่อจัดการพรรคการเมือง ถ้ายอมแลกต้นทุนขนาดนี้ก็พังกันหมด ดังนั้น ถ้าผู้มีอำนาจเห็นในสิ่งที่เรานำเสนอและเข้าใจ ก็ต้องหยุดกระบวนการแบบนี้

@ หนังยุบพรรคเดินเรื่องเร็วเกินไปใช่ไหม

การตั้งอนาคตใหม่มา รู้อยู่แล้วไม่ช้าก็เร็วจะต้องเจอกระบวนท่าแบบนี้ แต่สิ่งที่ผิดคาดคือเร็วไปนิดหนึ่ง และเร็วอย่างผิดสังเกตเมื่อมี 6.25 ล้านเสียง มี 81 ส.ส.เข้าไปทำงานในสภา และเร็วขึ้นอีกหลังประกาศเดินหน้านโยบาย เช่น จัดการมรดกบาป คสช. ยกเลิกทหารเกณฑ์ภาคบังคับ ถามว่าจะทำอย่างไรต่อไป… พรรคการเมืองเป็นแค่นิติบุคคล เป็นร่างกาย สมมตติฆ่าร่างกายทิ้ง แต่มีจิตวิญญาณอยู่ ฆ่าได้แต่ร่างกาย เอาหัวใจไปไม่ได้ หัวใจนี้ก็จะเดินทางไปหาร่างกายสิงใหม่ และเดินหน้าต่อได้อีก เพราะการยุบพรรคที่สำเร็จได้ ต้องยุบที่หัวใจ แต่ที่ผ่านมายุบได้แต่ร่างกาย

ในประเทศต้นแบบใช้ศาลรัฐธรรมนูญยุบพรรคอย่าง เยอรมนี เขายุบพรรคน้อยมาก และยุบเฉพาะเรื่องสำคัญ คือยุบพรรคที่มีอุดมการณ์ลักษณะนาซี ยุบเพราะอุดมการณ์ ไม่ได้ยุบเพราะลืมนั่น ลืมนี่ แพ้ฟาล์วเทคนิคเล็กๆ น้อยๆ แต่ปัญหาของไทยที่ผ่านมาไม่ได้ยุบที่หัวใจ ยุบแต่ร่างกายเขา ตั้งแต่ ไทยรักไทย พลังประชาชน และไทยรักษาชาติ เช่นเดียวกัน ถ้าทำกับอนาคตใหม่ ยุบก็แค่ร่างกาย แต่หัวใจอนาคตใหม่จะเดินทางต่อ

@ การทุบพรรคอนาคตใหม่ อาจทำให้เหลือ ส.ส. 69 คนในสภา ทั้ง 69 คนจะรับมืออย่างไร

เรายังมีผู้สนับสนุน และสมาชิกพรรคจำนวนมากที่เห็นด้วยกับแนวทางของเรา ทลายข้อจำกัดว่าการทำงานการเมือง ในมิติอื่นๆ ทำได้หมด เมื่อก่อนเรื่องการยุบพรรคการเมืองและการตัดสิทธิเลือกตั้ง ถูกนำมาบี้นักการเมืองเพื่อให้ถอย ให้หยุด ให้สยบยอม ให้ย้ายข้าง ย้ายพรรคใหม่ แต่บังเอิญถ้ามาทำกับอนาคตใหม่ ทำกับธนาธร (จึงรุ่งเรืองกิจ หัวหน้าพรรคอนาคตใหม่) ทำกับผมคิดว่าไม่เหมือนเดิม เพราะระหว่างที่คุณยุบพรรคไป ตัดสิทธิไป ผมจะรณรงค์ทางความคิดกับประชาชนอย่างต่อเนื่อง ต่อให้ตัดสิทธิทั้งชีวิตก็ไม่เป็นอะไร ไม่เป็น ส.ส.ก็ได้ ยังสามารถรณรงค์ต่อได้อีก

จะยุบพรรค ตัดสิทธิ์ ติดคุก หรือจะทำทั้งหมด หยุดความตั้งใจของเราไม่ได้ ก็เปลี่ยนไปรณรงค์ในมิติอื่น แต่ถ้าเรามองว่านี่คือข้อจำกัดเราก็ไม่กล้าทำอะไรเลย ซึ่งผมคิดว่าจะวนเข้าอีหรอบเดิม สังคมไทยถึงเวลาที่จะผนึกกำลังกันส่งเสียงดังๆ ว่าเป็นแบบเดิมไม่ได้

@ ฉากจบของหนังม้วนเดิม จะนำไปสู่ uprising

ไม่เคยคาดคิดว่าจะถึงต้องจุดนั้นตั้งแต่แรก ถ้าคิดก็คงไม่ตั้งพรรคการเมือง เราตั้งพรรคการเมืองขึ้นมาด้วยความปรารถนาดีจริงๆ ว่าการเมืองแตกขั้ว คุยกันไม่ได้ สุดท้ายประเทศจะออกจากวิกฤตไม่ได้ แล้วจะมีกลุ่มคนไม่กี่คนครองอำนาจได้เรื่อยๆ เพราะเงื่อนไขนี้ จึงตั้งพรรคอนาคตใหม่ขึ้นมาเพื่อเป็นตัวแทนในการเปลี่ยนแปลง และตั้งพรรคการเมืองสู้ในกติกาของเขา ซึ่งไม่เป็นธรรมเลย มีการสืบทอดอำนาจ ต้องถูกคมหอก คมดาบตลอดเวลา เราประเมินไว้หมดแล้วแต่ก็เลือกจะใช้วิธีนี้เพราะเชื่อว่าการเปลี่ยนแปลงในระบบรัฐสภาหรือสถาบันการเมืองต่างๆ  ยังเป็นไปได้ในประเทศไทย

และนำเสนอขึ้นมา ปรารถนาดี ทอดไมตรีทุกครั้ง พร้อมคุยกับชนชั้นนำทางการเมืองไทยทุกฝ่ายตกลงประเทศไทยจะไปทางไหน อย่างน้อยที่สุดถ้ามองว่าผู้สนับสนุนของพรรคถูกปั่นหัว ล้างสมอง ไม่เกิดประโยชน์ แต่ต้องมองว่าเป็นปรากฏการณ์ทีเกิดขึ้นจริงแล้ว และจะทำอย่างไรให้ตัวแทนของคนกลุ่มนี้เข้ามามีส่วนในการพูดกันว่าจะออกวิกฤตการณ์ครั้งนี้ได้อย่างไร จะแบ่งสันปันส่วนอำนาจทรัพยากรกันใหม่อย่างไรในประเทศนี้

ดังนั้น การต่อสู้ในระบบพรรคการเมืองด้วยการสมัครลงรับเลือกตั้ง มีโอกาสเปลี่ยนแปลงได้ แม้ใช้ระยะเวลา แต่ฝ่ายผู้มีอำนาจคิดเสียแล้วว่าต้องจัดการ ปล่อยไว้ไม่ได้  วิธีคิดแบบนี้ยิ่งผิด เพราะพื้นที่สาธารณะที่เหลือจะปล่อยให้เราได้พูด ได้เจรจา คุณบีบให้แคบลงอีก

@ เลยจุดที่จะประนีประนอมกับชนชั้นนำแล้วหรือยัง

สังคมไทยผ่านการปฏิรูปประนีประนอมกันหลายครั้ง ปฏิรูปครั้งแรกในสมัยรัชกาลที่ 5 กระทั่งปี 2475 สามารถหาโมเดลอยู่ร่วมกันของสถาบันพระมหากษัตริย์กับคณะราษฎร ออกมาเป็นประชาธิปไตยมีพระมหากษัตริย์อยู่ใต้รัฐธรรมนูญ เหตุการณ์ 6 ตุลา 2519 มีการออกคำสั่ง 66/2523 ท้ายที่สุดปรองดองกันได้ ดังนั้น เครื่องมือประนีประนอมในปัจจุบัน ผู้มีอำนาจต้องมองให้ยาว ถ้าคิดอย่างเดียวว่าจะทำให้ฉันไม่มีอำนาจ

เราเป็นฝ่ายไม่มีอำนาจ under dog แต่เขาเป็นฝ่ายผู้มีอำนาจเป็น elite คนไม่รู้กี่กลุ่มอยู่ในนั้น ดังนั้น เมื่อ under dog สู้กับกลุ่ม elite แล้วกลุ่ม under dog ปริมาณ คุณภาพเพิ่มขึ้นซึ่งเป็นอย่างนี้ทั่วโลก เมื่อไหร่ก็ตามที่คนส่วนใหญ่ ไม่มีอำนาจ ไม่มีทรัพยากร ไม่มีโอกาส เขาเรียกร้องขึ้นมาปุ๊บ แล้วถ้าคนส่วนน้อยมีอำนาจ มีทรัพยากรดูเบาจนเกินไป สุดท้ายจะเกิดการลุกฮือจนควบคุมไม่ได้ หลากหลายประเทศเป็นบทเรียนมาแล้ว แต่เชื่อว่าชนชั้นนำไทยมีความเฉลียวฉลาดมองการณ์ไกล

ในประวัติศาสตร์ที่ผ่านมาชนชั้นนำทางการเมืองไทย มองปุ๊บ ถ้าปล่อยไปแล้วจะปะทะกัน เขาเลยเปลี่ยนวิธีมาเป็นวิธีเจรจา พูดคุย ปรองดองกัน อย่าง พ.ศ. 2475 เป็นประชาธิปไตย มาถึง 2490 ดึงอำนาจกลับไป จนเกิดเหตุการณ์ 14 ตุลา 2516 ก็เริ่มกลับเป็นประชาธิปไตย พอเกิด 6 ตุลา 2516 ก็ดึงกลับไปเป็นประชาธิปไตยครึ่งใบ แต่ท้ายที่สุดพอมองออกว่าไปต่อไม่ได้ก็ยอมเป็นรัฐธรรมนูญ 2540 ให้การเมืองกลับมาเป็นระบอบปกติ

ดังนั้น ชนชั้นนำไทยมีสายตาที่กว้างไกล และเปลี่ยนวิธีการพูดคุย เจรจา ประนีประนอม ทำสำเร็จมาแล้วหลายครั้ง เชื่อมั่นว่าครั้งนี้ก็มีโอกาส ถ้าผมไม่เชื่ออย่างนี้จะไม่เข้ามาแข่งในระบบรัฐสภา จะต้องสู้นอกระบบไปเลย แต่ยังเชื่อว่าชนชั้นนำทางการเมืองไทย มีทุกกลุ่ม ทุกฝ่ายจะมีวิสัยทัศน์ที่มองออกว่าเดินหน้าแบบนี้ต่อไปไม่ได้

@ จุดเชื่อมสำคัญ 2 ชนชั้น ระหว่าง under dog กับ elite คืออะไร  

ผมไม่ทราบว่า จุดเชื่อมอยู่ตรงไหน แต่ใช้วิธีสื่อสารทางตรงด้วยความจริงใจ เพราะมองออกว่าถ้าปล่อยไปอย่างนี้ต่อไปเรื่อยๆ จะไม่ดี ถ้าผมกับคุณธนาธรคิดร้ายต่อชาติบ้านเมือง คงไม่ตั้งพรรคการเมืองอย่างนี้ ปลุกปั่นคน รอให้มันสุกงอม ระเบิดขึ้นมาทีเดียวแล้วจบอย่างไรไม่รู้ แต่เราเชื่อว่าเปลี่ยนด้วยกันได้ เราถึงเสนอตัวให้มาเปลี่ยนแปลงในครั้งนี้ พูดคุยกันว่าจะหาทางออกกันอย่างไร ผมไม่อยากให้ผู้มีอำนาจในปัจจุบันคิดสั้นจนเกินไป คิดแต่เพียงว่า ผมตั้งพรรคเพื่อล้มรัฐบาล ไม่ให้สืบทอดอำนาจ เบียดบังผลประโยชน์ของกองทัพ เลยมากำจัดผม คิดแค่นี้แก้ปัญหาไม่ได้

แทนที่จะคิดว่า ณ วันนี้ อาหารบนโต๊ะมี 10 จาน กิน 10 จานตลอดชีวิตไม่ได้ แบ่งมาให้ 1 จาน คนส่วนใหญ่เริ่มคิดแล้วว่า 1 จานไม่พอ ขอ 2 จาน -3 จานได้ไหม วิธีคิดแบบผู้มีอำนาจ winner take all เป็นไปไม่ได้ ถ้าคนส่วนใหญ่รู้ขึ้นมา มีจิตสำนึกขึ้นมาว่า โครงสร้างที่เป็นอยู่มันไม่ใช่ ต้องแบ่งสันปันส่วนให้เป็นธรรมมากขึ้น ให้ระบบการเมืองกลับมาเป็นปกติ ทหารออกจากการเมือง มีรัฐบาลจากการเลือกตั้ง มีเสถียรภาพในการบริหารประเทศ เปลี่ยนการตัดสินใจได้ใหม่เรื่อยๆ มีสิทธิเสรีภาพในการแสดงความคิดเห็น เรื่องแค่นี้ normal สำหรับผม เรื่องปกติมาก

@ เวลานี้ทหารจำเป็นต้องกุมหัวใจของการเมืองไว้หรือเปล่า เพราะมีการเปลี่ยนผ่านหลายเรื่อง

หน่วยงานความมั่นคงมีวิธีคิดแบบเดิมไม่ไว้วางใจประชาชน พยายามสร้างศัตรูของรัฐมาตลอดเวลา เพื่อให้ตัวเองอยู่ได้ เพราะเมื่อไม่มีภัยความมั่นคงก็จะไม่มีอะไรทำ ไม่มีงบประมาณให้ใช้ เคยสร้างคอมมิวนิสต์ วันหนึ่งเปลี่ยนเป็นพวกชังชาติ คนรุ่นใหม่ จะสร้างไปอย่างนี้เรื่อยๆ หรือ

@ ปรากฏการณ์ที่พรรค เจอคุณอานันท์ ปันยารชุน อดีตนายกรัฐมนตรี ศ.ศิวลักษณ์ ปัญญาชนสยาม เป็นการดีไซน์จุดเชื่อมระหว่าง 2 ชนชั้น

ผู้อาวุโส ผู้มีประสบการณ์ มีความปรารถนาดีต่อชาติบ้านเมืองและพวกเรา ให้โอกาสไปพูดคุย ก็ไปเล่าให้ฟังว่าเราคิดอะไร  มีความหวังดีต่อชาติบ้านเมืองอย่างไร ท่านก็ให้ประสบการณ์ว่า การทำงานทางการเมืองต้องคิดให้รอบด้าน แต่ในท้ายที่สุด การเมืองไทยเปลี่ยนไปมากขึ้น ในแง่ เราไม่รู้ สิ่งที่เคยเรียกแต่เดิม เครือข่ายแต่ก่อน ตอนนี้ไม่ทราบว่าใครเป็นเครือข่าย ทำได้อย่างเดียวคือแสดงความจริงใจออกมา แต่ปัญหาคือ กลุ่มคนที่มีอำนาจต้องคิดให้ได้ ยอมรับให้ได้ ว่าสังคมไม่ได้เป็นสังคมเดิม สังคมเปลี่ยนไป และจะใช้ความเปลี่ยนแปลงของสังคมอย่างไร ดึงให้คนทุกฝ่ายอยู่ด้วยกันได้

หลังเหตุการณ์ 6 ตุลา 19 กีดกันคนที่มีความคิดก้าวหน้าออกจากระบบ หลังจากนั้นมีความคิดว่ากีดกันออกไปทั้งระบบแบบนี้ไม่ได้ จึงพยายามดึงกลับมาผ่านคำสั่ง 66/2523 สุดท้ายคนเหล่านี้ก็ตั้งพรรคการเมืองลงแข่ง สำคัญที่สุดถ้ามองพวกผมเป็นพวกหัวก้าวหน้า ต้องทำเรื่องก้าวหน้า radical ให้มาอยู่ในสถาบันการเมืองหลักให้ได้ จะได้ถูกคลุมในระบบรัฐสภา สิ่งหนึ่งที่นักวิชาการครึ่งใบวิเคราะห์ว่า ประชาธิปไตยครึ่งใบในยุค พล.อ.เกรียงศักดิ์ ชมะนันท์ กับ พล.อ.เปรม ติณสูลานนท์ ทำสำเร็จคือเรื่องนี้

@ แต่ความคิดของผู้อำนาจมองว่าพรรคอนาคตใหม่อาจเป็นภัยคุกคาม

ต้องมองให้ยาวกว่าเดิม ถ้ามองสั้นว่าจะเป็นรัฐบาลต่อไปเรื่อยๆ ถ้าพวกนี้ (พรรคอนาคตใหม่) อยู่ต่อไปรัฐบาลจะไปต่อไม่ได้ เผด็จการทั่วโลก เวลาล้มด้วยวิธีการแบบนี้ พออยู่ในอำนาจไปเรื่อยๆ  จนเริ่มชิน สบายใจ ว่าอำนาจจัดการได้หมด ไม่ว่าอำนาจทางกายภาพ อำนาจรัฐ กฎหมาย ดูเบาประชาชน แต่เหล่านี้ทั้งหมดทำโดยใช้อำนาจทางกายภาพทางกฎหมาย เป็นอำนาจจากการบังคับ ไม่ใช่อำนาจจากคนยอมรับ หมายความว่า มีแต่อำนาจ แต่ไม่มีความชอบธรรมที่ทำให้คนยอมรับในอำนาจของคุณ ไม่สามารถชนะใจได้ ถ้าเป็นไปเรื่อยๆ จะอยู่ในช่วงเปราะบาง พอเปราะบางถ้ามีจุดตัดนิดเดียวจะไถลไกลเลย ใครจะคิดว่าระบอบสฤษดิ์ ถนอม ประพาส จะล้มด้วยชนวนทุ่งใหญ่นเรศวร

นายทหารเผด็จการทั้งหลายในอดีตทั้งของไทยและต่างประเทศ มั่นใจตลอดเวลา ถ้าเขาไม่มั่นใจเขาจะค่อยๆ เปลี่ยน แต่เผด็จการในกรีซ เศรษฐกิจก็ไม่ค่อยดี แต่ไปทำสงครามกับตุรกี เมื่อแพ้สงครามสุดท้ายก็ล้มเลย

@ ฉากจบผู้มีอำนาจดีไซน์ว่าจะยุบพรรคอนาคตใหม่ แล้วฉากจบอนาคตใหม่ดีไซน์ไว้อย่างไร  

ฉากจบที่ผู้กำกับเรื่องนี้วางไว้คือ ไม่ให้มีพรรคอนาคตใหม่ ไม่ให้ผม ธนาธร เข้าไปมีบทบาททางการเมืองในสภา พล็อตของเขาที่วางนั้น วางภายใต้ความคิดความเชื่อว่าไม่มีธนาธร ไม่มีปิยบุตร ไม่มีอนาคตใหม่แล้วเขาจะสบายขึ้น แต่ประเมินต่ำเกินไปว่าผมจะกลับไปสอนหนังสือ ไปอยู่ต่างประเทศกับภรรยา ส่วนธนาธรจะกลับไปปีนเขา หรือพวกที่อยู่ในพรรคนี้แตกไปหมด ผมคิดว่าประเมินผิด

เพราะสุดท้ายเราไม่ได้คิดว่าต้องเป็น ส.ส. ไม่ให้ผมเป็นก็ไม่เป็น ไม่ให้ทำการเมืองในสภาก็ไม่เป็นไร ผมสามารถรณรงค์ได้ทั่วประเทศ ส่วนเพื่อน ส.ส.ที่เหลือ สุดท้ายถ้าจะทำกันแบบนี้ หัวจิตหัวใจของอนาคตใหม่ยังยึดกุมกันตลอดเวลา หมายความว่า จิตวิญญาณของอนาคตใหม่ก็จะไปอยู่ในร่างกายใหม่

ตอนจบจะไม่เหมือนเดิม เพราะหนังเรื่อง law fare ตอนจบทุกครั้ง ทำให้พรรคการเมืองที่ได้รับความนิยมถดถอยลง หรือ แตกไปอยู่พรรคโน้นพรรคนี้ ทำให้ประชาชนไม่มีความหวัง เดี๋ยวก็เข้าแบบเดิม ผมยืนยันว่าจะไม่ให้เป็นแบบเดิม เราต้องสร้างความหวังให้กับประชาชนตลอดเวลา อย่าให้คุ้นชินกับการใช้อำนาจกดขี่แบบนี้ เมื่อไหร่ก็ตามที่คุ้นชินกับอำนาจกดขี่ แรกๆ ก็หือกับมัน ตอนหลังก็ยอมๆ ไป ถ้าเป็นแบบนี้เมื่อไหร่ เผด็จการก็ทำงานได้

ส่วนพรรคอนาคตใหม่จะจบแบบไหน…. ยังไม่ทราบ ผมกับ ธนาธร มีแต่ความปรารถนาดี เรามองสถานการณ์ยาวๆ ว่า เป็นไปได้อย่างไร 2562 การเมืองถอยกลับไป 2521 ถ้าเราอยากเปลี่ยนให้มันดี มันผิดตรงไหน

ถ้าใช้หนังม้วนเดิมฉายต่อก็ไม่เป็นไร อำนาจในการกำกับหนังเรื่องนี้อยู่ที่ผู้มีอำนาจ ผมทำได้อย่างเดียวคือ ทำให้การเดินเรื่องหนังเรื่องนี้เดินไม่ได้อย่างที่เขาต้องการ

@ 69 คนที่อยู่ในร่างใหม่ คิดว่าจะไปอยู่กี่เปอร์เซ็นต์

ตั้งแต่ตั้งพรรคถูกดูหมิ่น ดูเบาเรื่องนี้มาตลอด ได้ ส.ส.ไม่เยอะ เจอเกมสภาทำงานกันไม่เป็น ผมพยายามพิสูจน์กันมาเรื่อยๆ ถ้าให้ความเป็นธรรมกับอนาคตใหม่ เราทำหน้าที่ได้ดี ครั้งนี้เช่นกัน บอกว่าถ้าไม่มีอนาคตใหม่ ไม่มีธนาธร ไม่มีปิยบุตร รุ่นต่อไปขึ้นมาก็ทำได้ไม่เท่าสองคนนี้หรอก เริ่มมีเสียงดูถูกดูเบา แต่ผมมั่นใจว่า ถ้าหากจัดการผม จัดการธนาธรออกไป ยังมีคนรับไม้คบเพลิงนี้ต่อไปแน่นอน และจะทำได้ดีด้วย

ถ้าศาลรัฐธรรมนูญตัดสินยุบพรรค ส.ส.อนาคตใหม่จะผนึกกำลังอยู่ด้วยกัน อาจจะน้อยๆ ที่มีปัญหาขาดไปหลักหน่วย แต่ที่เหลือยังอยู่ด้วยกัน ผมคุยกับเพื่อน ส.ส.อยู่เสมอว่า ท้ายที่สุดถ้าจะเล่นงานเราจริงๆ ขอให้จับมือกันไว้แน่นๆ ผนึกกำลังไปด้วยกัน ถ้าเราทำสำเร็จ ทำให้คนที่ต้องการยุบพรรคเราเอากลับไปคิดใหม่ เพราะวิธียุบพรรคคือ เด็ดหัวแกนนำ ทำให้พรรคแตก แต่ถ้ายุบไปแล้วยังกลมเกลียวกันมากกว่าเดิมอีก ผมคิดว่าผู้มีอำนาจเริ่มคิดแล้วว่าจะยุบทำไม

คิดว่าจะต่อสู้กลเกม law fare นำไปสู่ยุบพรรค ต้องทำให้เขาเห็นให้ได้ว่ายุบพรรคแล้วไม่สามารถทำให้วัตถุประสงค์ที่เขาคิดสำเร็จ อยากเด็ดหัวแกนนำก็ทำไป เพราะนั่นคือบทบาทในสภา ผมยังรณรงค์ได้ทั่วประเทศ หากทำให้พรรคแตก ไปดูด ส.ส.กระจายกันหมด แต่ถ้าเรากุมมือกันแน่น ไปไหนไปกันต่อ คนอยากยุบก็เริ่มคิดว่าจะยุบไปทำไม เสียต้นทุนมหาศาล ของที่ได้กลับมาก็ไม่ได้

@ ดีไซน์ผู้นำในร่างใหม่ไว้แบบไหน

ยังรอดู ต้องดูหลายอย่าง เรายังมีเวลาสู้คดี ต้องเรียนถึงศาลรัฐธรรมนูญ ต้องให้โอกาสการพิจารณาคดีอย่างเป็นธรรม ถ้าศาลรัฐธรรมนูญไม่เปิดไต่สวน แม้เป็นอำนาจของศาล แต่คนก็จะตั้งคำถามกลับไปอีก ในที่สุดประเทศนี้จะเสียต้นทุนมหาศาล ทุกๆสิ่ง ทุกๆ อย่างเพื่อให้คนกลุ่มหนึ่งได้มีอำนาจต่อไปอย่างนั้นหรือ เสียโอกาสให้เขายึดอำนาจ 5 ปี ก็ไม่มีอะไรดีขึ้น ทำลายระบบรัฐธรรมนูญ รัฐสภาจนพัง ลงทุนถึงขั้นโชว์ไม่เคารพรัฐธรรมนูญทุกวันแล้วไม่โดนอะไร วันนี้เดินหน้าจัดการกับเราอีก ยอมเอาทุนของประเทศทุกอย่าง เพื่อแลกกับคนกลุ่มหนึ่งให้มีอำนาจต่อไปเรื่อยๆ ยุติธรรมกับคนทั้งประเทศหรือไม่

@ คาดการณ์ว่าจะเหมือนการยุบไทยรักษาชาติหรือไม่ ที่จบกระบวนการภายใน 22 วัน

ที่ผ่านมาข่าวลือว่า จะเอากันถึงยุบพรรคและขโมย ส.ส.โดยใช้กฎหมาย ปาร์ตี้ลิสต์หายหมด ให้เหลือแต่ ส.ส.เขต ท้ายที่สุดจะเอาอย่างนี้ เทหมดหน้าตักเลยใช่ไหม ให้รัฐบาลชุดนี้ที่มีเสียง 250 กว่าๆ ขึ้นไป 300 เสียง ด้วยวิธีการอย่างนี้ใช่ไหม แล้วถ้าคิดแบบนี้ ถามกลับไปว่า กลับไปมองประชาชนบ้าง

@ หากสถานการณ์ถึงขั้นนั้นจะถึงจุดพีคที่สุดของเรื่อง

ผมอ่านเรื่องการปฏิวัติ เปลี่ยนแปลงมาเยอะ ผลเสียมหาศาล จบอย่างไรก็ไม่รู้ คุมกันไม่ได้ด้วย ทำไมไม่ใช้วิธีการพูดคุยกันแล้วเปลี่ยนด้วยกัน ประเทศไทยเปลี่ยนสำเร็จหลายครั้ง ทำไมครั้งนี้จะสำเร็จไม่ได้

@ นอกจากการรณรงค์ วางแผนเดินเกมนอกสภาไว้อย่างไร  

การเมือง นิยามอย่างกว้าง คือ กิจการสาธารณะ พูดจา พูดคุย ความคิด ไม่จำกัดต้องทำในสภา ดังนั้น การรณรงค์ข้างนอกจึงเป็นขั้นพื้นฐานในประเทศประชาธิปไตย เป็นเสรีภาพที่ติดตัวมาตั้งแต่กำเนิด ไม่ใช่รัฐมาบังคับว่าพูดไม่ได้ การพูด การคิด การเขียน การรณรงค์ติดตัวมาแต่กำเนิด

แต่คนมาจำภาพในอดีตว่า ลงถนนเมื่อไหร่เป็นลบหมด ชุมนุมด้วยความรุนแรงเกิดความเสียหายจำนวนมากนั่นเป็นภาพในอดีต มีความรณรงค์จำนวนมากที่ไม่ต้องจบแบบเดิม ทำความคิดกับประชาชนไปเรื่อยๆ ถ้าไม่ให้ผมพูดในสภา จัดการมันดีกว่า ผมก็ไม่ได้จะกลับไปสอนหนังสือในมหาวิทยาลัยนะครับ ผมพูดกับพี่น้องประชาชนทั่วประเทศ เดินคุยทุกวัน

ในท้ายที่สุด ถ้าหากจัดการอนาคตใหม่จริงๆ สำคัญที่สุดช่วงแรกต้องยืนให้มั่นว่าพวกเราไปไหนไหด้วยกัน เรายังมุ่งมั่นในการทำงานต่อเนื่อง การทำลายเราในมิติใดๆ ก็ตามไม่ใช่ความสำคัญ เราต้องพิสูจน์ให้เห็นก่อน

การต่อสู้กับความไม่เป็นธรรม ในเวฟคลื่นลูกต่อไป จะไม่ใช่เป็นลักษณะโดดขึ้นมาแล้วมีแกนนำ แต่จะเกิดจากความคับแค้น ความไม่พอใจ และไม่ใช่เรื่องใดเรื่องหนึ่ง เมื่อก่อนนี้ถ้าบอกว่าเสื้อเหลืองชุมนุมจะอ้างว่าเรื่องคอรัปชั่น เสื้อแดงจะอ้างว่าทำไมไม่ให้รัฐบาลมาจากการเลือกตั้ง แล้วจะย้ายไปเล่นเรื่องอื่น แต่เรื่องต่อไปจะกลายเป็นความคับแค้นของตัวบุคคล คนละประเด็น จะเป็นการสะสม คนที่ไม่พอใจโครงสร้างแบบนี้ 10 กว่าปี จะกระจายไปหมด ความยุติธรรม การกระจายอำนาจ เศรษฐกิจปากท้อง ที่ดินทำกินไม่มี รวมกัน แต่ทั้งหมดมาในนามของคนส่วนใหญ่ของประเทศนี้ทนกับโครงสร้างที่เป็นอยู่ไม่ได้

@ ยุบอนาคตใหม่จะเป็นชนวนตัวแรกหรือไม่

ยังประเมินไม่ออก แต่อยากให้ผู้มีอำนาจเข้าไปสำรวจความคิดเห็นของประชาชน แน่นอนที่สุดอาจจะประเมินว่าแค่บ่นๆ ในโซเชียล แต่อย่าดูเบาความไม่พอใจของคน ที่ชิลี เกิดชุมนุมใหญ่เพราะไปขึ้นค่ารถไฟใต้ดิน ที่เลบานอนเกิดการชุมนุมใหญ่เกี่ยวกับการเก็บภาษีการใช้ออนไลน์ ที่ฮ่องกงเกิดจากกฎหมายส่งผู้ร้ายข้ามแดน เราไม่รู้หรอกอะไรจะเป็นชนวน แต่จะมีความอัดอั้นที่เก็บไว้ จนมีเรื่องใดเรื่องหนึ่ง เข้ามาจนทำให้ระเบิด

@ การเมืองจะระอุมากขึ้น

ถ้าผู้มีอำนาจเลือกเส้นทางอย่างนี้ก็ไม่รู้จะทำอย่างไร ถ้าเลือกเส้นทางที่ไม่ประนีประนอม ไม่ถอย ทั้งที่อำนาจที่ครองอยู่ไม่ชอบธรรม

@ จริงๆ แล้วอนาคตใหม่ แกร่ง หรือ กร่าง

คำว่ากร่าง ถ้าใครรู้จักผม คุยกับผมได้หมด แต่ถ้ามองแง่บวก นี่คือการแสดงออกซึ่งความจริงใจของคนเห็นว่าบ้านเมืองไปอย่างนี้ต่อไปไม่ได้ แล้วสิ่งที่เราต้องการไม่ใช่เรื่องยาก มันเป็นเรื่องธรรมดาบนโลกใบนี้ สิ่งที่เราต้องการคือประชาธิปไตยธรรมดาๆ ไม่ให้มีทุนผูกขาด กระจายอำนาจประชาธิปไตยมีเสรีภาพ ศักดิ์ศรีความเป็นมนุษย์ ลดความเหลื่อมล้ำ เอากองทัพออกไปจากการเมือง ที่ไหนๆ ก็ทำกัน พอเอามาใช้ในประเทศนี้หาว่าเราสุดโต่งเกินไป ปัญหาคือ ประเทศนี้ สังคมนี้สุดโต่งต่างหาก