พปชร.กุม 4 เสาอำนาจพิเศษ “เพื่อไทย” ปรับทัพรักษาชีวิตฝ่ายค้าน

การปรับโครงสร้างกรรมการบริหาร (กก.บห.) พรรคพลังประชารัฐ (พปชร.) ในการประชุมใหญ่สามัญประจำปี 2562 วันที่ 21 ธันวาคม ด้วย “ข้ออ้าง” การยึด-โยงกับจำนวน ส.ส.ในมือหัวหน้าก๊ก ภายใต้ “ดุลอำนาจใหญ่” ที่มี “พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ” ประธานยุทธศาสตร์พรรคเป็น “หัวหน้ามุ้งใหญ่” ที่ทุกดุลอำนาจต้องวิ่งเข้าหาเป็นการเขี่ยลูก “ปรับดุลอำนาจใหม่”

หลังจากการเลือกตั้ง 24 มีนาคม 2562 ที่มีอดีต 4 รัฐมนตรี ก๊วนสี่กุมาร นายอุตตม สาวนายน หัวหน้า-นายสนธิรัตน์ สนธิจิรวงศ์ เป็นเลขาธิการพรรคเป็น “ทัพหน้า”

เขย่าเก้าอี้หัวหน้า-เลขาฯ พปชร.

ชื่อของ “เสี่ยแฮ๊งค์” อนุชา นาคาศัย แกนนำกลุ่มสามมิตร ถูกชูขึ้นมาทันที เพราะ “แค้นฝังหุ่น” หลังจาก “ถูกเขี่ย” ตกจากเก้าอี้รัฐมนตรี “ประยุทธ์ 2/1” แต่เมื่อได้ตำแหน่งรองประธานยุทธศาสตร์พรรค-นั่งข้าง พล.อ.ประวิตร จึงถึงเวลาต้องกลับมายิ่งใหญ่-ทวงคืน

ทุกสายตาจึงจับตาไปที่การ “ชิงดำ” ระหว่างนายสนธิรัตน์-ที่มี “สมคิด จาตุศรีพิทักษ์” เป็นแบ็กอัพ กับ “เสี่ยแฮ๊งค์” ที่ “เข้าทาง” พล.อ.ประวิตร ทว่า ยังมี “ม้ามืด” อย่าง “ณัฏฐพล ทีปสุวรรณ” แกนนำกลุ่มอดีต กปปส.-ประชาธิปัตย์พลัส ที่เป็นมุ้งใหญ่ทั้งในเรื่องกำลังคน-ทุน-คอนเน็กชั่นพิเศษ

ขณะที่ “สุริยะ จึงรุ่งเรืองกิจ” เลขาธิการพรรคตัวจริง-เสียงจริง ประสานทั้งบนดิน-ใต้ดิน ไม่สามารถกลับมาทำหน้าที่พ่อบ้านเต็มตัวได้ เพราะนายสุริยะเคยเป็นอดีตเลขาธิการพรรคไทยรักไทย-ขุนพลคู่ใจทักษิณ ชินวัตร ทำให้ทหาร “ไม่ไว้วางใจ”

แกนนำกลุ่มสี่กุมารยังมั่นใจใน “พลังแฝง” ว่า “หัวหน้ากับเลขาธิการพรรคยังเหมือนเดิม ฮวงจุ้ยยังไม่เปลี่ยน ถ้าเปลี่ยนก็เปลี่ยนไม่มาก”

จัดสมดุลอำนาจ-ค้ำยันประยุทธ์

ธงการปรับโครงสร้างพลังประชารัฐครั้งนี้ เพื่อสร้างสมดุลอำนาจภายในพรรคใหม่ และกระชับ ส.ส.ในพรรค-นอกพรรครับมือศึกอภิปรายไม่ไว้วางใจ

“พลิกเกม” สภาเสียงปริ่มน้ำให้อยู่เหนือน้ำ-ดำรงอำนาจ พล.อ.ประยุทธ์ให้อยู่ยงนอกจากนี้ ยังเป็นการเสริมทัพ “ผู้เล่นใหม่” ทั้งที่ “เทกโอเวอร์” มาอย่าง “ไพบูลย์ นิติตะวัน” ส.ส.บัญชีรายชื่อ-อดีตหัวหน้าพรรคประชาชนปฏิรูป และการ “ต่อท่อ” คีย์แมนจากพรรคร่วมรัฐบาลเอง อย่าง “พีระพันธุ์ สาลีรัฐวิภาค” อดีต ส.ส.บัญชีรายชื่อ พรรคประชาธิปัตย์ เป็น “ประชาธิปัตย์พลัส”

การมาของ “พีระพันธุ์” ในตำแหน่งที่ปรึกษานายกรัฐมนตรี-ใช้ตึกไทยคู่ฟ้าเป็น “ที่จอด” เพื่อขยับไปเป็นประธานกรรมาธิการวิสามัญศึกษาแนวทางและการแก้ไขรัฐธรรมนูญฉบับ 2560 เบียดนายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ อดีตหัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ตกขอบสภา

สถานการณ์ของพลังประชารัฐหลังวันที่ 21 ธ.ค. คือ การสร้างสมดุลอำนาจภายในพรรค-คุมเกมในสภา ขนาบด้วยการตัดกำลังฝ่ายค้าน การันตีได้จากน้ำเสียงของ “ดิสทัต โหตระกิตย์” เลขาธิการนายกรัฐมนตรี-กุนซือ พล.อ.ประยุทธ์ ว่า “ไม่กังวลเกมในสภา แต่กังวลเกมนอกสภามากกว่า”

ทว่า “ความเสี่ยง” การ “ปรับทัพ” พลังประชารัฐครั้งนี้ หากหัวหน้า-เลขาธิการพรรคไม่ใช่นายอุตตม-นายสนธิรัตน์ จะทำให้เกิดความเปลี่ยนแปลง “ดุลอำนาจการนำ” ครั้งสำคัญ “กลุ่มสี่กุมาร” ที่มี “สมคิด” รองนายกรัฐมนตรี เป็น “ที่ปรึกษาทางใจ” จะถอนสมอเรือเล็กยกคณะ หลังเสร็จศึกการอภิปรายไม่ไว้วางใจดุลอำนาจใหญ่-พล.อ.ประวิตรจะถูกครอบด้วย 10 ก๊กในพรรค ทุกมุ้งในพรรคจะวิ่งเข้าหา พล.อ.ประวิตร…เสื่อมไปถึงเบอร์ 1 ทำเนียบรัฐบาล

254 ขั้วรัฐบาลเสียงยังแน่น

แม้ว่าพลังประชารัฐจะกระชับอำนาจ ดูด-ดึง เสียงจากพรรคพันธมิตรสำคัญอย่าง “ประชาธิปัตย์” มาอยู่ใต้ชายคา แต่ไม่ทำให้เสียงในสภาของฝ่ายรัฐบาลลดลง เพราะขณะนี้รัฐบาลยังกำเสียงในสภามากกว่าเดิม เมื่อฝ่ายค้านอิสระ 2 พรรคจิ๋ว เตรียมกลับมาอยู่ซีกรัฐบาล คือ ไทยศรีวิไลย์ และประชาธรรมไทย

ทำให้ขณะนี้ ฝ่ายรัฐบาลมี ส.ส.ในมือ 254 เสียง แบ่งเป็น พลังประชารัฐ 116 เสียง ประชาธิปัตย์ 53 เสียง ภูมิใจไทย 51 เสียง ชาติไทยพัฒนา 11 เสียง รวมพลังประชาชาติไทย 5 เสียง ชาติพัฒนา 3 เสียง พรรครักษ์ผืนป่า 2 เสียง พรรคพลังท้องถิ่นไทย 3 เสียง พรรค 10 เสียง

ฝ่ายค้านสั่นคลอน

แต่สำหรับฝ่ายค้านยิ่งนานวัน “จำนวนมือ” ยิ่งร่อยหรอ แถมยังต้องสาละวนกับการลงโทษ “งูเห่า” และคดียุบพรรค เพราะขุมกำลัง 7 พรรคฝ่ายค้านจากที่เคยมี 244 เสียง บัดนี้เหลือแค่ 240 เสียง

พลันที่พรรคอนาคตใหม่ มี “มติขับ” 4 งูเห่า 1.น.ส.กวินนาถ ตาคีย์ ส.ส.ชลบุรี 2.พ.ต.ท.ฐนภัทร กิตติวงศา ส.ส.จันทบุรี 3.น.ส.ศรีนวล บุญลือ ส.ส.เชียงใหม่ 4.นายจารึก ศรีอ่อน ส.ส.จันทบุรี “พ้นพรรค”

สองวันหลังจากถูกขับออกจากพรรค “ศรีนวล” เปิดหน้า ซบพรรคภูมิใจไทยทันที ส่วน “พ.ต.ท.ฐนภัทร” และ “จารึก” 2 ส.ส.จันทบุรี มีข่าวว่าเปิดโต๊ะเจรจากับแกนนำพรรคชาติไทยพัฒนา ส่วน “กวินนาถ” มีสิทธิ์เข้ามุ้งใหญ่-บ้านชลบุรี ไปอยู่กับพรรคพลังประชารัฐ ที่มี “เสี่ยเฮ้ง” นายสุชาติ ชมกลิ่น ประธาน ส.ส. เป็นผู้ชักชวนเข้า “ร่วมชายคา” พรรคพลังประชารัฐจากเสียงปริ่มน้ำ เริ่มจะไม่ปริ่มน้ำ !

อนค.ในโซนอันตราย

อีกทั้งชะตากรรมของพรรคอนาคตใหม่ยังคงอยู่ใน “โซนอันตราย” จากเหตุที่คณะกรรมการการเลือกตั้ง (กกต.) มีมติส่งให้ศาลรัฐธรรมนูญวินิจฉัยยุบพรรค จากปมเงินกู้ 191 ล้านบาท ซ้ำดาบสองด้วยคดีล้มล้างการปกครองระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข ที่ศาลรัฐธรรมนูญรับคำร้องไปตั้งแต่เดือน ก.ค.

โอกาสรอดยังต้อง “ลุ้นเหนื่อย” แม้ว่าพรรคอนาคตใหม่เตรียมแผน 2 เซ้ง “พรรคสำรอง” ไว้เตรียมพร้อมหากเกิดอุบัติเหตุ ตามที่ “ปิยบุตร แสงกนกกุล” เลขาธิการพรรค ลั่นวาจาไว้ว่า “ยุบเมื่อไหร่ วันรุ่งขึ้นย้ายไปอยู่พรรคใหม่ทันที” และอาจมีแค่ “หลักหน่วย”

หนีทัพไปอยู่ขั้วรัฐบาล

แต่ยังไม่มีอะไรการันตีว่า ส.ส.ทั้งหมดของพรรคจะขนทัพย้ายไป “สวมหัวโขนใหม่” ได้ทั้งหมดหรือไม่…ในช่วงที่ “มือดีล” ฝ่ายรัฐบาลตั้งโต๊ะเจรจางูเห่า แบบเปิดหน้าในรัฐสภา บัดนี้ เสียงฝ่ายค้าน-รัฐบาล “ช่องว่าง” ต่างกันถึง “สิบเสียง” โดยที่เสียงฝ่ายรัฐบาลมี 254 เสียงนับวันยิ่งเป็น “ปึกแผ่น” หาก “งูเห่า” 4 ตัวของอนาคตใหม่มาสมทบขั้วรัฐบาล เสียงจะดีดขึ้นเป็น 258 เสียงทันที ไม่นับการเลือกตั้งซ่อม ขอนแก่น เขต 7 กับสมุทรปราการ ที่อาจเพิ่มกำลังให้ฝ่ายรัฐบาลอีก 2 เสียง

ฟากสถานการณ์พรรคประชาชาติ ที่ “วันมูหะมัดนอร์ มะทา” เป็นหัวหน้าพรรค ยังต้องสอบสวนกรณี “งูเห่า” 1 ตัวของพรรค คือ “อนุมัติ ซูสารอ” จากเคสเดียวกับ 3 งูเห่าเพื่อไทย ที่ไปแสดงตัวเป็นองค์ประชุมให้ฝ่ายรัฐบาล ในการล้มญัตติตั้ง กมธ.วิสามัญ

“เช็กบิล ม.44”

ส่วนสถานการณ์พรรคเศรษฐกิจใหม่วันนี้ หลังจาก “มัดจำเสียง” ล้มญัตติเช็กบิล ม.44 มาใช้พลังประชารัฐเป็น “ที่พัก” เหลือเพียงแค่รอปรับคณะรัฐมนตรี-เกลี่ยตำแหน่งทางการเมืองเพื่อไทยปรับขบวน แถม “เพื่อไทย” พี่เบิ้มในพรรคฝ่ายค้าน การจัดทัพภายในพรรคยังไม่เป็นกระบวน

เพราะยังอยู่ระหว่างสยบรอยร้าวระหว่างกลุ่ม-ก๊ก โดยเฉพาะกระแสข่าวว่า ส.ส.อีสาน ไม่พอใจบทบาท “คุณหญิงสุดารัตน์ เกยุราพันธุ์” ประธานคณะกรรมการยุทธศาสตร์พรรค ยกขบวนไปฟ้องนายใหญ่ “ทักษิณ ชินวัตร” ถึงมหานครดูไบในช่วงเดือน พ.ย.ที่ผ่านมา ให้เปลี่ยนตัวประธานยุทธศาสตร์พรรคกวักมือเรียก “ร.ต.อ.เฉลิม อยู่บำรุง” ให้กลับมาประจำการเป็นประธานยุทธศาสตร์ของพรรค แทนแม่ทัพหญิง

ที่สุดแล้ว “ร.ต.อ.เฉลิม” ถูกดึงตัวกลับมาจริง ๆ ตามแรงกดดันจาก ส.ส.อีสาน การกลับมาของ “เจ้าพ่อบางบอน” ประเดิมศึกแรกในฐานะประธาน คณะกรรมการกิจการพิเศษ รับภารกิจเป็นหัวขบวนซักฟอกรัฐบาลในศึกอภิปรายไม่ไว้วางใจ ช่วงกลาง-ปลายเดือน ม.ค. 2563 พ่วงภารกิจ ติดตาม ประเมินและวิเคราะห์สถานการณ์การเมือง เฉพาะเรื่องแบบรู้ลึก และทันสถานการณ์ เพื่อนำเสนอหัวหน้าพรรค ตามที่หัวหน้าพรรคสั่งการ ติดตามควบคุม ตรวจสอบการบริหารงานของรัฐบาลและหน่วยงานองค์กรที่เกี่ยวข้องและเตรียมความพร้อมอภิปรายไม่ไว้วางใจที่จะเกิดขึ้นในนามเพื่อไทย งานนี้เบียดคิว “เจ้าแม่ กทม.” ให้ไปดูงานด้านมวลชน ลงพื้นที่ซับน้ำตาชาวบ้าน เสริมภาพลักษณ์เพื่อไทยตามงานถนัด

ส่วนหมากการเมือง “ร.ต.อ.เฉลิม” และกลุ่มภูมิธรรม กลับมาผงาดอีกครั้ง อาศัย “สมพงษ์ อมรวิวัฒน์” หัวหน้าพรรค ในเงานายใหญ่ทักษิณ ลงไปเคลียร์ใจยังต้องสยบรอยร้าว-ระหว่างกลุ่ม ก๊ก ก๊วน ที่ไม่พอใจ “คุณหญิงสุดารัตน์” ให้กลับมาเป็นขบวนเดียวกัน ถอนพิษงูเห่าไม่ให้ลุกลามบานปลาย…ศึกในเพื่อไทยยังระอุ

อีกทั้งการปรับเอา “ร.ต.อ.เฉลิม” เข้ามาถือธงนำในสภา เพื่อเปิดเกมรุก-ดุดัน “ดึงซีน” กลับจากพรรคอนาคตใหม่ และเสรีรวมไทย ของ “พล.ต.อ.เสรีพิศุทธ์ เตมียเวส”

ในเวลาเดียวกันยังต้องเคลียร์คดี 3 งูเห่า “พลภูมิ วิภัติภูมิประเทศ ส.ส.กทม.-พรพิมล ธรรมสาร ส.ส.ปทุมธานี-ขจิตร ชัยนิคม ส.ส.อุดรธานี” ซึ่งยังจบไม่ลง ในปมเข้าร่วมเป็นองค์ประชุมให้ฝ่ายรัฐบาล เดินหน้าล้มญัตติตั้งคณะกรรมาธิการ (กมธ.) วิสามัญศึกษาผลกระทบประกาศคำสั่ง คสช.-อำนาจมาตรา 44 แต่แนวโน้มไม่ถึงขั้น “ถูกขับ” เหมือน 4 ส.ส.อนาคตใหม่ เท่ากับว่า การปรับขบวนของเพื่อไทย คือ การ “ปรับเพื่อรักษาชีวิต”

แม้รายชื่อ 4 รัฐมนตรีที่พรรคเพื่อไทยจองกฐินซักฟอกจะไม่มีรัฐมนตรีจาก 2 แกนหลักพรรคร่วมรัฐบาล ประชาธิปัตย์-ภูมิใจไทย เพื่อหวังล้ม พล.อ.ประยุทธ์-พลิกขั้วเป็นแกนนำจัดตั้งรัฐบาล

ทว่า รัฐบาล พล.อ.ประยุทธ์-พลังประชารัฐมั่นใจว่า “แพไม่ล่ม” เพราะคุมเกมอำนาจฝ่ายบริหาร-นิติบัญญัติ-องค์กรอิสระ และอำนาจที่ 4 ไว้เหนียวแน่น