“ปิยบุตร” ลั่น ต้องทำให้อาวุธยุบพรรคเป็น “กระสุนด้าน” ยัน อนค.ไม่ใช่พวกปฏิกษัตริย์นิยม

นายปิยบุตร แสงกนกกุล เลขาธิการพรรคอนาคตใหม่ (อนค.) กล่าวในงาน Future is Now #อย่ากลัวอนาคต ที่ SC3 มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ศูนย์รังสิต (ตึกสีส้ม) ซึ่งเป็นการแถลงปิดคดียุบพรรค กรณีที่ศาลรัฐธรรมนูญจะวินิจฉัยคำร้องของนายณฐพร โตประยูร ที่กล่าวหาว่านายปิยบุตร นายธนาธร จึงรุ่งเรืองกิจ และกรรมการบริหารพรรค ล้มล้างการปกครองระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข ตอนหนึ่งว่า เมื่อ 15 มี.ค.61 ไปเริ่มจดตั้งพรรค นายสนธิยา สวัสดี ซึ่งปัจจุบันเป็นสมาชิกพรรคพลังประชารัฐ ไปร้องไม่ให้คณะกรรมการการเลือกตั้ง (กกต.) รับรองการจดจัดตั้ง อนค.อ้างว่าตนเมื่อครั้งเป็นอาจารย์ มธ.ได้ร่วมกับเพื่อนนักวิชาการ นิติราษฎร์และอีกหลายกลุ่มรณรงค์แก้ไข ม.112 ในที่สุด กกต.ให้การรับรองจดทะเบียน อนค.เป็นพรรคการเมืองในระบอบรัฐธรรมนูญ

@ ยึดอำนาจ – ฉีก รธน.เท่ากับล้มล้าง

อย่างไรก็ตาม หลังการเลือกตั้ง 24 มี.ค.ได้คะแนนเสียง 6.3 ล้านเสียง ได้เกือบ 90 ที่นั่ง แต่ถูกขโมยไปเหลือ 81 เป็นงูเห่า เหลือ 76 ที่นั่ง หลังเลือกตั้งอีกไม่กี่วัน ณฐพร ร้องอัยการสูงสุด และศาลรัฐธรรมนูญ ร้องว่า นายธนาธร ตน และ กก.บห.ล้มล้างระบบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข ช่องทางที่ร้องใช้ช่องทางมาตรา 49 ของรัฐธรรมนูญ 2560 บุคคลใดจะใช้เสรีภาพอันเป็นการล้มล้างการปกครองระบบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุขไม่ได้ เมื่อใดก็ตามศาลรัฐธรรมนูญรับคำร้อง และพิจารณาเห็นว่าบุคคลใดใช้เสรีภาพอันเป็นการล้มล้าง ศาลสั่งให้ยุติการใช้เสรีภาพกระทำการนั้นเสีย

มาตรา 49 เราเอาความคิดแบบฝรั่งมาใช้ ประชาธิปไตยที่ต้องปกป้องตนเอง ประชาธิปไตยมอบเสรีภาพให้แก่บุคคล บุคคลจะใช้เสรีภาพอย่างไรก็ได้ แต่จะใช้เสรีภาพล้มล้างการปกครองที่มอบเสรีภาพไม่ได้ ยกตัวอย่างเช่น หากมีกลุ่มบุคคลใช้ชุมนุมเสรีภาพเรียกร้องให้ทหารออกมายึดอำนาจ ฉีกรัฐธรรมนูญ ก่อรัฐประหาร นี่คือการใช้เสรีภาพตามรัฐธรรมนูญล้มล้างการปกครอง ถ้าหากศาลเห็นก็จะสั่งให้ยกเลิกการกระทำนั้นเสีย แต่นายณฐพร ยังกล่าวหาตนและธนาธรว่ามีพฤติกรรมล้มล้างการปกครอง โดยยกเหตุต่างๆ มาสนับสนุน เช่น นำบทความ หนังสือ การบรรยายทางวิชาการสมัยที่ตนเป็นนักวิชาการ ที่เกี่ยวกับกฎหมายรัฐธรรมนูญ การปกครองประเทศต่างๆ ประวัติศาสตร์การเมืองของประเทศไทย มาตัดตอนบางท่อนบางถ้อยความผูกโยงร้อยรัดกันและจินตนาการสรุปไปเองว่านี่คือการพฤติกรรมล้มล้างการปกครอง

“นำบทบาทของผมเมื่อครั้งเป็นนักวิชาการรณรงค์แก้ไขประมวลกฎหมายอาญามาตรา 112 แล้วมาจินตนาการว่าล้มล้างการปกครองระบบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข เอาบทสัมภาษณ์ของนายธนาธรตั้งแต่ก่อนมาเป็นนักการเมือง สมัยทำธุรกิจ วิพากษ์ระบบทุนนิยมในประเทศไทย เขานำมาผูกโยงกันแล้วจินตนาการไปว่านี่เป็นการล้มล้างระบบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข เอานโยบาย อนค.เช่น การแก้ไขรัฐธรรมนูญ 2560 เพื่อเปิดทางให้มีสภาร่างรัฐธรรมนูญจากการเลือกตั้งของประชาชน มายกร่างรัฐธรรมนูญใหม่ทั้งฉบับเหมือนที่ทำสำเร็จปี 2540 เป็นการล้มล้างการปกครอง ทั้งที่มีการกบฏฉีกรัฐธรรมนูญชัดเจน แต่ไม่ถูกกล่าวหาว่าล้มล้างการปกครอง นายทหารกลุ่มหนึ่งออกมายึดอำนาจแล้วตั้งตนเป็นใหญ่ในแผ่นดิน ประกาศยกเลิกรัฐธรรมนูญทั้งฉบับนี่คือการล้มล้างการปกครองของจริง” นายปิยบุตร กล่าว

นายปิยบุตร กล่าวว่า สิ่งที่กล่าวอ้างทั้งหมดไม่มีตรงไหนที่ธนาธรและตนต้องเปลี่ยนประชาธิปไตยเป็นเผด็จการ ไม่มีตรงไหนที่บอกว่าต้องการเปลี่ยนระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข เป็นประธานาธิบดี และเหตุที่เขาเอามาอ้างหลายประเด็นเป็นสิ่งที่เกิดขึ้นก่อนที่ตั้งพรรค อนค.หลายประเด็นจึงไม่เกี่ยวอะไรกับ กกต.โดยเฉพาะ กกต.รับรองให้มี อนค.เกิดขึ้น รับรองข้อบังคับ และลงเลือกตั้งได้ ส.ส. 81 คนมา อย่างนี้จะล้มล้างการปกครองระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุขได้อย่างไร

เมื่อพิจารณาประเด็นข้อกฎหมาย คำร้องของนายณฐพรเป็นเรื่องไร้สาระที่สุด คำร้องฉบับนี้ไม่ต่างอะไรจากใบปลิวที่ไปเขียนในคำร้องของศาลรัฐธรรมนูญ สังเกตเวลาไปร้องขณะที่ อนค.ประสบความสำเร็จหลังเลือกตั้ง 24 มี.ค.2562 เขาหวาดกลัวกระแสคนหนุ่มสาว คนชั้นกลาง คนวัยกลางคน คนสูงอายุ ที่หวังมีอนาคตที่ดีกว่านี้ หวาดกลัวตนและธนาธร กวาดออกไปจากการเมืองให้ได้

และวิธีการที่ใช้มาตลอดคือข้อหาล้มเจ้า เขาต้องการสื่อให้สังคมเข้าใจผิดว่าตนและนายธนาธรเป็นพวกล้มเจ้าต้องกำจัดออกจากการเมืองไทยให้ได้ เอาคำว่าระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุขมาใช้เป็นข้ออ้างเพื่ออำพราง แต่แท้จริงแล้วเขากังวลใจกับการเปลี่ยนแปลงที่จะเกิดขึ้นและทำให้เขาสูญเสียอำนาจลง

“ผมขอยืนยัน ณ ที่แห่งนี้ ต่อหน้าประชาชนผู้ทรงอำนาจสูงสุดในประเทศไทยว่า ธนาธรและผมและ อนค.พวกเราไม่เคยคิด ไม่คิด และไม่กระทำการอันเป็นการล้มล้างสถาบันพระมหากษัตริย์อย่างแน่นอน ธนาธร ผม และ อนค.ยึดมั่นในระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข” นายปิยบุตร กล่าว

@ ไม่ใช่ปฏิกษัตริย์นิยม

เลขาธิการ อนค. กล่าวอีกว่า พวกอนุรักษ์นิยมตกขอบ มักเอาข้อหานี้มาอ้าง แต่ไม่เคยอธิบายว่าคุณลักษณะของระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุขเป็นอย่างไร คืออะไร หลังปฏิวัติสยาม 24 มิ.ย. 2475 ประเทศไทยเปลี่ยนประชาธิปไตย ยืนยันว่าอำนาจสูงสุดว่าอำนาจสูงสุดเป็นของราษฎรทั้งหลาย และมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุขของรัฐอยู่ภายใต้รัฐธรรมนูญ เราผ่านร้อน ผ่านหนาว ผ่านพัฒนาระบอบการเมืองไทยมา ในที่สุดก็ ร้อยรัด เชื่อมโยง 2 องค์กร เอาสถาบัน 2 สถาบันเข้าด้วยกัน คือ สถาบันพระมหากษัตริย์และประชาชน สถาบันพระมหากษัตริย์มีความชอบธรรมทางจารีตประเพณี เป็นมรดกตกทอดทางประวัติศาสตร์ เป็นสถาบันที่ประกันความต่อเนื่องของรัฐไทย ศูนย์รวมของคนไทยทั้งชาติ ขณะเดียวกัน ประชาชนก็เป็นสถาบันมีความชอบธรรมสมัยใหม่ มีความชอบธรรมทางประชาธิปไตยสูง ดังนั้น จึงมีการประสานกับสถาบันพระมหากษัตริย์เข้ากับประชาชน ออกมารูประบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข อันแสดงให้เห็นในรัฐธรรมนูญอย่างต่อเนื่องหลายฉบับ

นายปิยบุตร กล่าวว่า “ระยะหลังมักมีการกล่าวหากันด้วยการประดิษฐ์คำใหม่ๆ ขึ้นมาที่เพิ่งคิดค้นขึ้นมาได้ ปฏิกษัตริย์นิยม เป็นภาษาไทย anti royalist ขอยืนยัน ธนาธร ผม และอนค.พวกเราไม่ใช่ปฏิกษัตริย์นิยม แต่พวกเราต้องการให้ราชอาณาจักรไทยแห่งนี้เป็นประชาธิปไตยโดยสมบูรณ์ และมีพระมหากษัตริย์เป็นประมุขของรัฐภายใต้รัฐธรรมนูญ ความคิดแบบพวกเราไม่ได้ทำลายสถาบันพระมหากษัตริย์ แต่ความคิดคือปฏิรูปให้ระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุขพัฒนาก้าวหน้าดีขึ้นเรื่อยๆ เพื่อให้ประชาธิปไตยปกปกรักษาสถาบันให้ยั่งยืน ดำรงพระเกียรติยศ มั่นคงสถาพรสืบไป แต่ความคิดแบบเผด็จการต่างหากที่จะบั่นทอนสถาบันพระมหากษัตริย์ อำนาจเผด็จการทหารบั่นทอนกัดเซาะสถาบัน ประสบการณ์จากหลายประเทศแสดงให้เราเห็นแล้ว”

นอกจากความคิดแบบเผด็จการจะเป็นอันตรายต่อการดำรงอยู่ของสถาบัน ความคิด ultra royalist และ hiper royalist ก็ทำให้เกิดอันตรายต่อสถาบันเช่นกัน ประสบการณ์ จาก ฝรั่งเศส ญี่ปุ่น กรีซ สอนเราว่าพวกดังกล่าวที่เหนี่ยวรั้งการเปลี่ยนแปลง เหนี่ยวรั้งพัฒนาการสังคมที่ต้องการให้สังคมเปลี่ยนแบบเดิมเพื่อรักษาอำนาจของพวกเขา พวกนี้เป็นอันตรายต่อสถาบัน

พวกเขาพยายามกล่าวหา ตน นายธนาธร และอนค.ว่าเป็นพวกสุดโต่ง ไม่สอดคล้องสังคมไทย นายธนาธร ได้บรรยายถึงวิสัยทัศน์ต่างๆ ไปแล้วว่าต้องการให้ประเทศเป็นอย่างไร ดีขึ้นกว่าที่เป็นอยู่ ต้องการนำประเทศออกจากความขัดแย้ง 14 ปี หยุดการรัฐประหาร แทรกแซงการเมือง เราต้องการขจัดความเหลื่อมล้ำทางเศรษฐกิจสังคม ทลายรัฐราชการรรวมศูนย์ ทวงคืนอำนาจกลับสู่ท้องถิ่น แก้รัฐธรรมนูญ 2560 ไปสู่การสร้างฉันทามติใหม่ร่วมกัน ปฏิรูปกองทัพให้ทันสมัย ต้องการทลายทุนผูกขาด สร้างสวัสดิการถ้วนหน้าให้กับประชาชน ต้องการให้ประเทศไทยปรับตัวให้ทันกับเทคโนโลยีใหม่ๆ ทั้งหมดเป็นเรื่องสุดโต่ง รุนแรง ไม่สอดคล้องกับสังคมไทย แต่เรื่องเหล่านี้เป็นเรื่องปกติไม่ใช่หรือที่ทุกประเทศต้องการจะเป็น

คนที่ป้ายสีให้เรา แท้จริงแล้วใส่แว่นสายตาของฝ่ายอนุรักษ์นิยมสุดขั้ว ขวาตกขอบ เมื่อเขาใส่แว่นสายตาแบบนี้เวลาเขามองมาที่เราซึ่งเป็นพวกปกติต้องการให้สังคมไทยดีขึ้น แต่มองเราว่าเป็นพวกหัวรุนแรง แต่แท้จริงแล้วพวกเขาสุดโต่งที่สุด พวกนี้อันตรายต่อสังคมไทย โดยเฉพาะหัวเลี้ยวหัวต่อบ้านเมือง สังคมไทยกำลังเปลี่ยนไป ความคิดของคนกำลังเปลี่ยนแปลง แต่คนเหล่านี้ต้องการหยุดอยู่ที่เดิม ต้องการแช่แข็งประเทศไทยอยู่กับที่ ผลักพวกเราให้เป็นศัตรู ยิ่งจะนำมาซึ่งอันตรายต่อประเทศไทย

@ อาวุธยุบพรรคต้องเป็นกระสุนด้าน

“21 ม.ค. ที่จะถึงนี้ศาลรัฐธรรมนูญจะออกนั่งบัลลังก์วินิจฉัยว่าจะตัดสิทธิ และยุบพรรค อนค.หรือไม่ 14 ปีมีการยุบพรรคอยู่เมอ พิจารณาจากข้อเท็จจริงและข้อกฎหมาย ไม่มีทางยุบ อนค.และตัดสิทธิตนและธนาธร ได้ แต่ทุกท่านปากกาไม่ได้อยู่ตี่ผม แต่ปากกาอยู่ที่ศาลรัฐธรรมนูญ ผมเดินทางไปไหนมาไหน ไปประชุมสภา ยุบแน่ไม่คดีนี้ก็คดีหน้า เช่นเดียวกับการคุยกับ สื่อมวลชน นี่ยุบช้าไปด้วยซ้ำ ยิ่งคนพูดยุบแน่ๆ เท่าไหร่ มองว่าการยุบพรรคไม่ใช่เรื่องกฎหมายล้วนๆ แต่เป็นเรื่องการเมือง ไม่มีใครสนใจข้อกล่าวหา ข้อกฎหมาย ข้อเท็จจริงเป็นอย่างไร แต่มองว่ายุบแน่ เพราะ อนค.เป็นอันตรายต่อคนที่ครองอำนาจในปัจจุบัน

การยุบพรรคในอดีต คนที่เขาครองอำนาจหวังผลอย่างไร เขาหวังว่า สส.จะย้ายค่ายไปเพิ่มเสียง อยู่ยาวครบ 4 ปี แกนนำที่ถูกยุบหายไปจากการเมืองไทย อย่างน้อยชั่วระยะหนึ่ง ความคิด ยุบพรรค จะทำอย่างไร กลายเป็นกระสุนที่ด้านให้ได้ ต้องทำให้ยุบพรรคเป็นกระสุนด้านด้วยวิธีดังต่อไปนี้

“ให้ ส.ส. อนค.เมื่อใดก็ตามที่ถูกยุบ ย้ายไปอยู่พรรคการเมืองใหม่ที่มีแนวทางแบบ อนค.โดยพร้อมเพรียงกัน ถ้าหากศาลรัฐธรรมนูญยุบพรรค ขอเรียกร้อง อนค.ให้สมาชิกพรรค 6 หมื่นกว่าคนไปสมัครสมาชิกพรรคที่มีแนวทางเหมือน อนค. ต่อแถวทุกอำเภอ ทุกจังหวัด สมัครออนไลน์กันให้เต็มที่ จะไปอยู่ที่ใหม่เป็นแสนเป็นล้าน ยุบเมื่อไหร่ เขาหวังให้ ธนาธร ปิยบุตร หายไปจากการเมืองไทย เราคุยกันเรียบร้อยแล้วว่างานนี้เอาจริงไม่มีถอยและคาดการณ์ล่วงหน้าไม่ช้าก็เร็วการยุบพรรคต้องมาถึง ยังรณรงค์ทางการเมืองต่อเนื่อง ไม่กลับไปทำธุรกิจ และตนจะเดินทางไปทั่วประเทศอภิปรายต่อหน้าพวกท่าน และบ้านใหม่ของเราก็จะดำเนินการตามแนวทาง อนค.ทั้งหมด ถ้าเป็นแบบนี้อาวุธที่ชื่อว่าการยุบพรรคจะกลายเป็นกระสุนด้านทันที ต่อไปนี้เขาจะไม่กล้ายุบอีกแล้ว การยุบพรรคที่ใช้ต้นทุนมหาศาลเอาความเชื่อถือศรัทธาในระบบตรวจสอบไปยุบพรรค ต่อไปจะไม่กล้ายุบพรรคอีกแล้วจะไปเป็นกระสุนด้านไม่เกิดประโยชน์ ดังนั้น การยุบพรรคถ้าหากเกิดขึ้นไม่ได้เป็นอันตรายต่อ ธนาธร ผมและ อนค.แต่จะส่งผลร้ายต่อสังคมไทย เพราะหากใช้คำร้องของนายณฐพรยุบพรรค จะเกิดคนกลุ่มหนึ่งตั้งตนเป็นเกสตาโปกลุ่มใหม่ เที่ยวสอดส่องความคิดของผู้คนในสังคมไทย ดูโซเชียล เฟซบุ๊ก เมื่อไหร่ก็ตามเห็นอันควร ก็นำข้อความมาตัดแปะ ยำใหญ่แล้วไปร้องศาลรัฐธรรมนูญ ตัดสิทธิทางการเมืองนี่คือเกสตาโปแบบใหม่ ถ้าหากยุบพรรคด้วยคำร้องของนายณฐพร นี่คือการนำประเด็นสถาบันพระมหากษัตริย์มาใช้เป็นเครื่องมือทางการเมืองเพื่อกำจัดคนที่เห็นว่าเป็นศัตรูทางการเมืองของคุณ”

นายปิยบุตร กล่าวว่า เราอยู่กับรัฐบาลที่สืบทอดอำนาจจากรัฐบาลที่แล้ว ต่อเป็นปีที่ 6 ผู้ครองอำนาจในปัจจุบันเขาพยายามก่อตั้งระบอบขึ้นมาระบอบหนึ่ง ยังไม่มีชื่อ แต่ที่แน่ๆ ไม่ใช่ระบบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข แน่นอน ทำลายการเมือง สิทธิเสรีภาพ ทำลายระบอบเศรษฐกิจ เพื่อให้เขาครองอำนาจต่อไปได้เรื่อยๆ ประชาธิปไตยเป็นระบอบคาดการณ์ผลลัพธ์ไม่ได้ แต่ประชาธิปไตยประกันความแน่นอนชัดเจนว่ากติกาเป็นอย่างไร บุคคลที่อยู่ใต้อำนาจรัฐคาดการณ์ได้ว่าอำนาจมาจากไหน ใช้อำนาจได้แค่ไหนเพียงไร ประกันสิทธิเสรีภาพอย่างไร ตรงกันข้ามกับเผด็จการ เราคาดการณ์ผลลัพธ์ได้ คือได้ตามความต้องการของผู้ทรงอำนาจว่าอยากได้อะไร เราไม่รู้ว่าเขาจะตัดสินกันแบบใด รู้อย่างเดียวตีความกฎหมายอย่างไรก็ได้ เพียงเพื่อให้ความต้องการของเผด็จการบรรลุผล

ผู้ครองอำนาจในปัจจุบันต้องศึกษาประวัติศาสตร์ในอดีต ต้องยอมรับความเป็นจริงว่าความคิดแบบ อนค.เป็นปรากฏการณ์ที่เกิดขึ้นจริงในสังคมไทย เมื่อใดก็ตามคิดเพียงว่าผู้สนับสนุนถูกปลุกปั่น ล้างสมอง ถ้าคิดเพียงแบบนี้ตีโจทย์ผิด ก็ไม่มีวันแสวงหาคำตอบที่ถูกต้องได้ มีเพียงต่อยอมรับความเป็นจริง เขาไม่อยากได้รัฐบาลแบบนี้อยู่ต่อ


ผู้ครองอำนาจทั้งหลายอย่ากลัวอนาคตเพราะมองไม่เห็นมัน ไม่รู้จักมัน วันนี้เวลานี้อนาคตปรากฏอยู่บนเบื้องหน้าของพวกท่านแล้วทำความรู้จักอนาคตออกแบบอนาคตร่วมกัน อยู่กับอนาคตใหม่ร่วมกัน