เคาะรวมงานสืบสวน-สอบสวน อยู่ใต้ร่ม สตช.เหมือนเดิม แต่ห้าม ผบ.ก้าวก่ายงาน

“กก.ปฏิรูปตำรวจ” เคาะรวมงานสืบสวน-สอบสวน อยู่ใต้ร่ม สตช.เหมือนเดิม แต่เตรียมวางกลไกเป็นอิสระ ห้ามผู้บังคับบัญชาก้าวก่ายงาน

เมื่อเวลา 11.50 น. วันที่ 20 กันยายน ที่รัฐสภา พล.ต.อ.ชัชวาลย์ สุขสมจิตร์ อนุกรรมการด้านการบังคับใช้กฎหมายและระบบการสอบสวนคดีอาญา ในคณะกรรมการปฏิรูปประเทศด้านกระบวนการยุติธรรม (ตำรวจ) แถลงผลการประชุมว่า ที่ประชุมเห็นด้วยกับข้อเสนอคณะอนุกรรมการเกี่ยวกับโครงสร้างของพนักงานสอบสวนเพื่อนำไปสู่การปฏิรูปในเบื้องต้น โดยคณะกรรมการปฏิรูปฯ เห็นว่าควรจะใช้วิธีผสมผสานการทำหน้าที่ระหว่างตำรวจในด้านสอบสวนและสืบสวน ต่อจากนี้เราจะให้ใช้ตำแหน่งสืบสวนสอบสวนแทน สำหรับการเจริญเติบโตในหน้าที่ของพนักงานสืบสวนสอบสวนนั้น ทางคณะอนุกรรมการฯเสนอ 2 ทาง คือ 1.ให้เลื่อนในสายงานหลัก โดยเลื่อนตำแหน่งเมื่อมีตำแหน่งว่าง และ 2.กรณีตำแหน่งในสายงานพนักงานสอบสวนโดยเฉพาะ ให้เลื่อนในตำแหน่งที่ครองอยู่ เป็นการเลื่อนตำแหน่งจากการประเมิน โดยพนักงานสืบสวนสอบสวน สามารถเลื่อนขึ้นไปได้ถึงรองผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ

“เหตุผลที่ต้องนำเรื่องสืบสวนสอบสวนมารวมกัน เพราะทั้ง 2 เรื่องนี้แยกจากกันไม่ออก การได้มาซึ่งหลักฐานไปสู่การสอบสวนนั้นต้องมาจากการแสวงหาหลักฐานที่เรียกว่าการสืบสวน ดังนั้นเพื่อไม่ให้เกิดความรู้สึกที่แยกออกจากกันจึงต้องให้มาอยู่รวมกัน เพื่อประสิทธิภาพในการทำหน้าที่” พล.ต.อ.ชัชวาลย์ กล่าว

พล.ต.อ.ชัชวาลย์ กล่าวต่อว่า สำหรับสายงานบังคับบัญชานั้น งานสืบสวนสอบสวนยังคงอยู่ภายใต้กำกับดูแลของสำนักงานตำรวจแห่งชาติ (สตช.) เพราะมีความจำเป็นที่ สตช.ยังต้องรับผิดชอบอยู่ ประกอบกับการทำงานยังต้องใช้บุคลากรและสถานที่ทำงาน และจะไม่มีการจัดตั้งหน่วยงานใหม่ขึ้นมาแต่อย่างใด ยังคงอยู่ในสถานีตำรวจ อย่างไรก็ตามโจทย์ใหญ่ถัดไปที่คณะกรรมการปฏิรูปฯต้องพิจารณาคือจะทำอย่างไรไม่ให้ผู้บังคับบัญชา หรือตำรวจที่มียศสูงกว่าเข้ามากลั่นแกล้งหรือแทรกแซงการทำหน้าที่และโยกย้ายตำแหน่งของพนักงานสืบสวนสอบสวน

เมื่อถามถึงวิธีการที่จะทำให้งานสืบสวนสอบสวนเป็นอิสระ ไม่ถูกแทรกแซง พล.ต.อ.ชัชวาลย์ กล่าวว่า มีข้อเสนอแต่ยังไม่ยุติ โดยหัวหน้าสถานีต้องไม่เกี่ยวข้องกับเนื้อคดี แต่อาจเข้าไปช่วยดูแลเรื่องบุคลากร งบประมาณ เป็นต้น ส่วนกรณีผู้บังคับบัญชาสามารถให้คุณให้โทษแก่ผู้ใต้บังคับบัญชาได้นั้น เป็นเรื่องเกี่ยวกับการประเมินเพื่อนำไปสู่ความดีความชอบ และการเลื่อนตำแหน่ง ซึ่งเป็นบทบาทที่ไม่เด็ดขาด โดยหัวหน้าสถานีจะไม่ได้ประเมินแบบใกล้ชิด แต่จะประเมินจากภาพรวม อาจประเมินในทางลบหรือบวกก็ได้ ทำให้หัวหน้าสถานีช่วยคานอำนาจกับหัวหน้างานสืบสวนสอบสวนที่อาจช่วยเหลือกันได้ ซึ่งกรณีดังกล่าวก็เหมือนกับราชการทั่วไป ทั้งนี้ต้องทำกฎหมายขึ้นมาโดยเขียนคุ้มครองความเป็นอิสระของพนักงานสอบสวน

“จะต้องคิดหาวิธีปฏิบัติว่าทำอย่างไร ไม่ให้ผู้บังคับบัญชาสามารถทำอะไรก็ได้ หรือดลบันดาลอะไรก็ได้ การจะใช้อำนาจหัวหน้าก้าวก่ายทำให้รูปคดีเสียเพื่อช่วยใคร จะต้องทำไม่ได้ ซึ่งต้องสร้างตรงนี้ให้ได้ ถ้าไม่ได้การปฏิรูปก็ไม่เกิดประโยชน์อะไร” พล.ต.อ.ชัชวาลย์ กล่าว

 

ที่มา : มติชนออนไลน์