“บิ๊กตู่” ยกทัพตีเมือง “บรรหารบุรี” ปักหมุดเมกะโปรเจ็กต์น้ำแสนล้าน

เมื่อทีมงานฝ่ายเสนาธิการ (เสธ.) บนตึกไทยคู่ฟ้า ฐานบัญชาการทำเนียบรัฐบาล ได้วางยุทธศาสตร์ให้ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี-หัวหน้าคณะรักษาความสงบแห่งชาติ (คสช.) “เดินสาย” ประชุมคณะรัฐมนตรีอย่างเป็นทางการนอกสถานที่ (ครม.สัญจร) ครบทั้ง 6 ภาค

การประชุม “ครม.สัญจร” ครั้งล่าสุด ที่ 2/2560 ถึงคิวพื้นที่ภาคกลาง เมื่อวันที่ 18-19 กันยายน 2560 ที่ผ่านมา หลังจากครั้งแรกไปออกลูกอ้อนชาวอีสาน-เมืองย่าโม

“ทีม เสธ.ทำเนียบ” จัดอีเวนต์ให้ พล.อ.ประยุทธ์นำทัพ-ชิงเมืองสุพรรณบุรี-พระนครศรีอยุธยา

ขณะที่คณะเสนาบดีพลเรือน-ทหาร โอบล้อมเมืองจังหวัดใกล้เคียง ทั้งสิงห์บุรี ชัยนาท อ่างทอง กาญจนบุรี นครปฐม

เพื่อแย่งพื้นที่-ฐานเสียงทางการเมืองของพรรคชาติไทย ที่มี 4 ตระกูลการเมือง “ผูกขาดอำนาจทางการเมือง” ตลอดหลายทศวรรษในจังหวัดสุพรรณบุรี

1. ตระกูลศิลปอาชา : นายบรรหาร อดีตหัวหน้าพรรคชาติไทย อดีตนายกรัฐมนตรีคนที่ 21 นายชุมพล-น้องชาย อดีตหัวหน้าพรรคชาติไทยพัฒนา

2. ตระกูลโพธสุธน : นายประภัตร อดีตเลขาธิการพรรคชาติไทย อดีต ส.ส.สุพรรณบุรี มากกว่า 10 สมัย

3. ตระกูลเที่ยงธรรม : นายจองชัย อดีต ส.ส.สุพรรณบุรี 9 สมัย

4. ตระกูลประเสริฐสุวรรณ : พล.ต.บุญเอื้อ ส.ส.สุพรรณบุรี 10 สมัย ผู้ชักนำนายบรรหารเข้าสู่ถนนการเมือง

สุพรรณบุรีจึงประกอบไปด้วย “ส่วนแบ่ง” ทางผลประโยชน์ของกลุ่มต่าง ๆ ภายในจังหวัด 4 กลุ่ม ได้แก่ พ่อค้า-นักธุรกิจ ข้าราชการ ประชาชนทั่วไป และนักการเมืองท้องถิ่น ผ่านระบบอุปถัมภ์-พัฒนาสาธารณูปโภค เส้นทางคมนาคม ระบบชลประทาน และสถาบันการศึกษา จากงบประมาณในสภาแปรเป็นฐานเสียงเต็มแผ่นภายในจังหวัด “บรรหารบุรี”

ส่งผลให้ “บารมีทางการเมือง” ของ 4 ตระกูลการเมือง ส่งต่อมาถึง “ทายาททางการเมือง” รุ่น 2-3 ได้แก่ น.ส.กัญจนา “บุตรสาวคนโต” ของนายบรรหาร นายวราวุธ “ผู้สืบสันดาน” คนสุดท้อง-“หัวขบวน” พรรคชาติไทยพัฒนาคนปัจจุบัน

นายเสมอกัน บุตรชายนายจองชัย เที่ยงธรรม นายณัฐวุฒิ-ชาญชัย บุตรชาย พล.ต.บุญเอื้อ ประเสริฐสุวรรณ นายยุทธนา-น.ส.พัชรี หลานชาย-หลานสาวนายประภัตร โพธสุธน

หลังการรัฐประหาร 22 พฤษภาคม 2557 “ศึกแย่งน้ำ” ระหว่างชาวจังหวัดสุพรรณบุรีกับจังหวัดใกล้เคียง (ชัยนาท) เมื่อช่วงปี 2558-2559 ทำให้พรรคชาติไทยพัฒนา “เสียเครดิต” ไปไม่น้อย

ดังนั้น อาจเป็นที่มาของแพ็กเกจ-โปรเจ็กต์ ที่ พล.อ.ประยุทธ์และคณะหอบหิ้วไปเพื่อขาย-ตีเมืองสุพรรณบุรีจากอ้อมกอด 4 ตระกูลเก่าแก่ผู้ “ผูกปี” สนามเลือกตั้งในจังหวัดสุพรรณบุรี

จึง “ขีดเส้นใต้” ไว้ที่การแก้ปัญหาน้ำท่วม-น้ำแล้งแบบเบ็ดเสร็จ ที่รัฐบาลนักการเมืองแตะต้องไม่ได้ อาทิ เมกะโปรเจ็กต์-โครงการคลองระบายน้ำหลากบางบาล-บางไทร ฝั่งตะวันตกของแม่น้ำเจ้าพระยา ต้นทางจะอยู่ที่ อ.บางบาล มาปลายทางที่ อ.บางไทร จ.พระนครศรีอยุธยา มูลค่าโครงการประมาณ 17,600 ล้านบาท

โครงการระบายน้ำฝั่งตะวันออก โดยบูรณาการก่อสร้างถนนวงแหวนรอบที่ 3 ควบคู่ไปกับโครงการคลองผันน้ำเพื่อบรรเทาและป้องกันอุทกภัยในลุ่มน้ำเจ้าพระยาตอนล่าง มูลค่า 200,000 ล้านบาท แยกเป็นคลองผันน้ำกว่า 100,000 ล้านบาท กับถนนวงแหวนรอบที่ 3 ประมาณ 85,000 ล้านบาท

นอกจากนี้ “วิษณุ เครืองาม” รองนายกฯ ยังหอบแผนยุทธศาสตร์และทิศทางการพัฒนาภาคกลางให้ที่ประชุม ครม.สัญจร เพื่อพัฒนาภาคกลางสู่มหานครทันสมัย ประกอบด้วย

1.พัฒนากรุงเทพฯเป็นมหานครทันสมัยระดับโลก 2.พัฒนาคุณภาพแหล่งท่องเที่ยวที่มีชื่อเสียงระดับนานาชาติเพื่อกระจายการท่องเที่ยวทั่วทั้งภาค

3.ยกระดับการผลิตสินค้าเกษตรและอุตสาหกรรม โดยใช้นวัตกรรม เทคโนโลยี และความคิดสร้างสรรค์ เพื่อให้สามารถแข่งขันได้อย่างยั่งยืน 4.บริหารจัดการน้ำ เพื่อแก้ไขปัญหาน้ำท่วม ภัยแล้ง

5.เปิดประตูการค้า การลงทุน และการท่องเที่ยว เชื่อมโยงเขตเศรษฐกิจพิเศษทวาย-ภาคกลาง-ระเบียงเศรษฐกิจภาคตะวันออก (EEC) และ 6.พัฒนาความเชื่อมโยงเศรษฐกิจและสังคมกับทุกภาคเพื่อลดความเหลื่อมล้ำภายในประเทศ

ครม.สัญจร ภาคกลาง-ฐานเสียง “มังกรการเมือง” บรรหาร-4 ตระกูลการเมือง เที่ยวนี้ของ พล.อ.ประยุทธ์จึงล้อมเมือง-ตีค่ายแตกกระเจิง